จากประชาชาติธุรกิจ
ขยะเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์ครึ่งปีแรกพุ่ง 2,209.88 ตัน ขณะที่ยอดนำเข้าเพื่อซ่อมแซมใช้ต่อแตะที่ 5,019.58 ตัน กรมโรงงานฯแจงขยะเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่นำไปรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่ ยังไม่สร้างปัญหา หวั่นอนาคตขยะอาจเพิ่มอีก เตรียมออกกฎเข้มดูแล เพิ่มแรงจูงใจเอกชนตั้งโรงงานรีไซเคิลเพิ่ม
รายงานข่าวจากกรม โรงงานอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า จากการสรุปซากผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ช่วงที่ผ่าน มาพบว่ามีเศษซากอุปกรณ์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เป็นสิ่งปฏิกูล หรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วขออนุญาตนำออกนอกโรงงาน (สก.2) เช่น อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งานแล้วที่มีชิ้นส่วนเป็นอันตราย เช่น จอภาพ ตัวสะสมประจุ สวิตช์บรรจุปรอท, อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งานแล้ว, ชิ้นส่วนอันตรายที่ถอดแยกจากอุปกรณ์ไฟฟ้าไม่ใช้งานแล้ว ตั้งแต่ ม.ค. 2556 ถึงปัจจุบันรวม 2,209.88 ตัน เทียบกับปี 2555 มี 2,973.14 ตัน และปี 2554 ปริมาณสูงถึง 3,090.77 ตัน
นอกจากนี้มีส่วนที่กรมโรงงานฯอนุญาตให้นำ เข้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้แล้วเพื่อนำมาใช้ซ้ำ, ซ่อมแซม, ดัดแปลง/ปรับปรุง, คัดแยก/ปรับปรุง, คัดแยก/แปรสภาพ ในปี 2555 สูงถึง 15,036.76 ตัน ขณะที่ตัวเลขนำเข้า 3 เดือนแรกปีนี้ (ม.ค.-มี.ค.) 5,019.58 ตัน
แหล่งกำเนิดซากผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์มาจาก 1) ชุมชนบ้านเรือน สถานประกอบการต่าง ๆ 2) โรงงานผลิตภัณฑ์และชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ ซากผลิตภัณฑ์ฯส่วนใหญ่มาจากชุมชนเป็นหลัก และพบว่าส่วนใหญ่จัดการซากผลิตภัณฑ์ด้วยวิธีการขายต่อร้อยละ 50 หรือเก็บรวบรวมไว้ร้อยละ 25 บางส่วนทิ้งรวมกับขยะชุมชนทั่วไป มีน้อยมากที่ส่งกำจัดอย่างถูกวิธี
นายณัฐพล ณัฎฐสมบูรณ์ อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรมเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ซากผลิตภัณฑ์ฯที่เกิดจากกระบวนการผลิตในโรงงานที่ 3,000 ตัน/ปีนั้น ส่วนใหญ่นำกลับมาใช้ใหม่ ไม่ถือเป็นขยะที่สร้างปัญหา ส่วนที่อนุญาตให้นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อนำมาปรับปรุง จะเห็นว่าตัวเลขค่อนข้างสูงถึง 15,036 ตันนั้น ในจำนวนนี้ร้อยละ 90 นำมาประกอบชิ้นส่วนในเครื่องใช้ไฟฟ้าและนำกลับมาใช้ประโยชน์ต่อ คาดการณ์ว่าในอนาคตจะมีขยะเกิดจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพิ่มมากขึ้นจึงต้อง เร่งผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการซากผลิตภัณฑ์ในภาพรวม และกลไกที่เข้มงวดมากขึ้นในการเรียกคืน คัดแยก และรวบรวมซากผลิตภัณฑ์จากผู้ใช้
ที่สำคัญต้องเร่งรัดออกมาตรฐาน ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าฯเพื่อป้องกันการนำเข้าผลิตภัณฑ์คุณภาพต่ำที่ อาจกลายเป็นซากผลิตภัณฑ์ได้ รวมถึงจัดการตั้งแต่ต้นทาง คือให้ความสำคัญในการจัดการของเสียจากชุมชนและผู้ประกอบการที่ไม่ใช่โรงงาน โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเอกชนเข้ามามีส่วนร่วม
"ขยะ อิเล็กทรอนิกส์ที่น่าห่วงมากและมีปริมาณเพิ่มอย่างต่อเนื่องคือโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ กล้องถ่ายรูป คอมพิวเตอร์ และเครื่องปรับอากาศ จะต้องเพิ่มส่วนของกระบวนการรีไซเคิลเป็นระบบมากขึ้น ไม่ให้ขยะเหล่านี้สร้างปัญหา"
ปัจจุบันมีโรงงานผู้รับดำเนินการ จัดการสิ่งปฏิกูลหรือวัสดุที่ไม่ใช้แล้วที่เป็นซากอุปกรณ์ไฟฟ้าและชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์ 2 กลุ่ม 1) กลุ่มผู้รับบำบัดกำจัดโดยการเผาทำลายในเตาเผาเฉพาะของเสียอันตราย และฝังกลบอย่างปลอดภัย 2) กลุ่มนำมาคัดแยกเพื่อส่งต่อไปรีไซเคิลในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันมีเพียง 35 โรงงาน
จำนวนโรงงานในกลุ่มคัดแยกเพื่อส่งต่อไปรี ไซเคิลนั้น เทียบกับปริมาณซากอุปกรณ์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในปัจจุบันและที่จะ เกิดขึ้นในอนาคตยังน้อยมาก และโรงงานเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่นเป็นหลัก เนื่องจากลงทุนสูงระดับ 100-1,000 ล้านบาท ที่สำคัญระบบคัดแยกตั้งแต่ต้นทาง โดยเฉพาะขยะจากชุมชนยังไม่เป็นระบบชัดเจนทำให้เป็นข้อจำกัดของการลงทุน
"ขยะ อิเล็กทรอนิกส์จากโรงงานสามารถมอนิเตอร์ได้ แต่ขยะจากชุมชนยังทำไม่ได้ เมื่อเร็ว ๆ นี้นักลงทุนญี่ปุ่นแสดงความสนใจจะขยายโรงงานรีไซเคิลในประเทศ แต่พอถามถึงข้อมูลขยะอิเล็กทรอนิกส์จากชุมชนที่ถือเป็นกลุ่มใหญ่ที่ไม่ สามารถมอนิเตอร์ข้อมูลได้ นักลงทุนถามว่า จะนำเข้าขยะอิเล็กทรอนิกส์ได้หรือไม่ ในทางปฏิบัติมันทำได้เพราะกรมโรงงานฯมีข้อกำหนดด้านคุณสมบัติของผู้นำเข้า ไว้แล้ว แต่ก็ไม่ต้องการให้นำเข้าเพิ่ม จึงไม่มีการลงทุนสร้างโรงงานเพิ่ม"
นาย ณัฐพลกล่าวอีกว่า เร็ว ๆ นี้กรมโรงงานฯจะหารือสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ BOI ว่าจะเพิ่มแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมรีไซเคิลในประเทศเพิ่ม เติมอย่างไร เพราะเป็นความจำเป็นของประเทศที่ต้องมีโรงงานเหล่านี้เพิ่มในอนาคต
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,อะไหล่ victorinox,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,servival Kit