สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

วัดฝีมือบริหารจัดการน้ำ หวั่นปีหน้า แล้งจัด

จากประชาชาติธุรกิจ

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับธรรมชาติไม่ เป็นใจ เมื่อเกิดภาวะฝนตกน้อย เพราะปริมาณฝนน้อยกว่าเกณฑ์เฉลี่ย ส่งผลให้น้ำไหลลงอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศมีน้อยลง และอาจถึงขั้นลดลงผิดปกติ

ขณะที่ฤดูฝนในประเทศผ่านมาแล้วครึ่งทาง จึงหวั่น ๆ ว่า ฤดูแล้งปี 2557 จะหนักหนาสาหัสกว่าที่คิด เพราะน้ำต้นทุนเหลือน้อยโดยเฉพาะภาคเหนือและภาคอีสาน ขณะที่น้ำใน 10 เขื่อนหลักมีน้ำใช้การได้จริงต่ำกว่าร้อยละ 11 ทั้งเขื่อนภูมิพล-สิริกิติ์-อุบลรัตน์-จุฬาภรณ์-ลำปาว ซึ่งร้อนถึงกรมชลประทานที่ต้องปรับแผนงดระบายน้ำ

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานจากศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน ถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ณ วันที่ 23 กรกฎาคมที่ผ่านมา (ตามตารางประกอบ) ว่า มีปริมาณน้ำรวมกัน 32,707 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 47 ของความจุอ่างขนาดใหญ่รวมกัน ยังสามารถรองรับน้ำในช่วงฤดูฝนได้อีกกว่า 37,800 ล้านลูกบาศก์เมตร

ทั้งนี้ทางศูนย์ฯ ได้ตั้งข้อสังเกตและแสดงความเป็นห่วงว่า ขณะนี้ประเทศไทยได้เข้าสู่ช่วงฤดูฝนมาได้ 3 เดือน หรือเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว แต่ปริมาณน้ำไหลลงอ่างในปีนี้ยังน้อยมาก เนื่องจากประเทศไทยมีฝนตกอยู่ในเกณฑ์น้อย ประกอบกับในช่วงต้นปีมีการระบายน้ำออกจากอ่างเพื่อป้องกันการเกิดอุทกภัยในปริมาณ "มากจนเกินไป" ส่งผลให้ต้นทุนน้ำในเขื่อนมีน้อยผิดปกติ และหากสถานการณ์น้ำไหลลงอ่างยังเป็นเช่นนี้ จึงมีแนวโน้มว่าในช่วงฤดูแล้งหน้า (ปี 2557) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะประสบภาวะภัยแล้งต่อเนื่องอีก


สำหรับสถานการณ์น้ำในภาคเหนือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก 2 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนภูมิพล กับเขื่อนสิริกิติ์ ปีนี้มีปริมาณน้ำใช้การได้จริงน้อยมาก กล่าวคือเขื่อนภูมิพล เหลือน้ำใช้การได้จริงเพียง 302 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 2 ของความจุอ่าง ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ สภาพการณ์ใกล้เคียงกันคือ เหลือน้ำใช้การได้จริง 343 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 4 เท่านั้น รวมทั้งภาคเหนือในขณะนี้มีปริมาณน้ำใช้การได้จริง 975 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 4 ของความจุอ่างในภาคเหนือทั้งหมด รวมเขื่อนในภาคเหนือทั้งหมดยังมีพื้นที่รองรับน้ำได้อีกกว่า 17,000 ล้าน ลบ.ม. 

ส่วนสถานการณ์เขื่อนหลักในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็ย่ำแย่พอกัน กล่าวคือใน 3 เขื่อนหลัก ได้แก่ เขื่อนจุฬาภรณ์-เขื่อนอุบลรัตน์-เขื่อนลำปาว มีน้ำไหลลงอ่างน้อยมาก ส่งผลให้เหลือน้ำใช้การได้จริงต่ำกว่าร้อยละ 11 กล่าวคือ เขื่อนจุฬาภรณ์ 6 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 4, เขื่อนอุบลรัตน์ 128 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 5 และเขื่อนลำปาว 213 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 11 รวมเขื่อนในภาคอีสานทั้งหมดยังมีพื้นที่รองรับน้ำได้รวมกันอีก 5,800 ล้าน ลบ.ม.

ล่าสุด กรมชลประทาน โดยคณะกรรมการจัดการชลประทานของอ่างเก็บน้ำแต่ละแห่ง (JMC) ได้มีมติปรับแผนการบริหารจัดการน้ำให้สอดคล้องกับภาวะฝนตกน้อยในปีนี้ ด้วยการชะลอการส่งน้ำฤดูฝนปี 2556 ออกไปก่อน จนกว่าจะมีสภาวะฝนและมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำเพียงพอที่จะสำรองไว้ใช้หากเกิดภาวะฝนทิ้งช่วง หรือเน้นการบริหารจัดการน้ำด้วยการใช้น้ำฝนที่ตกในพื้นที่เกษตรกรรมให้มากที่สุด ก่อนที่จะระบายน้ำจากเขื่อนตามปกติ ทั้งนี้การเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลัก ซึ่งขณะนี้ยังถือว่ามีปริมาณน้ำอยู่ในเกณฑ์น้อย จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการรักษาระดับน้ำเหนือเขื่อนเจ้าพระยาให้อยู่ในเกณฑ์ +15 เมตร (รทก.) เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อพื้นที่การเกษตรในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา

ส่วนปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำหลักในภาคกลาง-ภาคใต้ และภาคตะวันตก ยังมีน้ำไหลลงอ่างอยู่ในเกณฑ์ดีกว่าภาคเหนือ-ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยกเว้นเขื่อนปราณบุรี ที่มีปริมาณน้ำใช้การได้จริงเหลือ 29 ล้าน ลบ.ม. หรือคิดเป็นร้อยละ 8 ของความจุอ่างเท่านั้น


ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต

Tags :

view