สุรินทร์17อำเภอยังแล้งฝนทิ้งช่ว
จาก โพสต์ทูเดย์
สุรินทร์17อำเภอยังเจอแล้งฝนทิ้งช่วงวัชพืชขึ้นปกคลุมต้นข้าวเสียหายหนัก
เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสถานการณ์ฝนตกหลักหลายจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ยกเว้น จังหวัดสุรินทร์ ที่ยังคงได้รับผลกระทบจากฝนทิ้งช่วงครอบคลุมทั้ง 17 อำเภอ เกษตรกรทำนาตั้งแต่ต้นปีได้รับผลกระทบค่อนข้างรุนแรงและเสี่ยงที่จะได้รับ ความเสียหายจากภัยแล้ง ซึ่งปัจจุบันเกษตรกรได้ทำนาหว่านประมาณ 3,100,000 ไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 95 % แต่ในหลายพื้นที่กำลังประสบปัญหาหญ้าหรือวัชพืชขึ้นปกคลุมต้นข้าวเสียหาย หนัก
อย่างไรก็ตามขณะนี้ชาวนาบ้านเขวาน้อย ต.ท่าสว่าง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ต่างพากันใช้วิธีแก้ไขปัญหาการกำจัดวัชพืช โดยให้คนจากหมู่บ้านอื่นนำเครื่องตัดหญ้ามาตัดใบข้าวเพื่อกำจัดวัชพืชที่ ขึ้นปกคลุมต้นข้าว เพื่อนำไปเลี้ยงโคและกระะบือต่อ และหลังจากที่ต้นข้าวและต้นหญ้าถูกตัดออกไป เมื่อฝนตกลงมา ต้นข้าวจะเจริญงอกงามเร็วกว่าต้นหญ้าและจะขึ้นปกคลุมหญ้าแทนที่ ขณะที่หญ้าวัชพืชเมื่อมีน้ำฝนมาท่วมทุ่งนา หญ้าก็จะตายลงไป ซึ่งเป็นเทคนิควิธีที่ชาวนาในพื้นที่ จ.สุรินทร์ นิยมทำกัน หากฝนทิ้งช่วงและมีหญ้าขึ้นปกคลุมนาข้าวดังกล่าว
ด้านนายมโนรมย์ สุดคะนึง ชาวนาบ้านโคกวัด ต.นาดี อ.เมือง กล่าวว่า ชาวนาแก้ปัญหาวัชพืชปกคลุมเต็มนาข้าว เจ้าของที่นาอนุญาตให้เข้ามาตัดใบข้าวฟรี นาที่ไม่มีน้ำขังจะตัดบริเวณที่สูงจากพื้นดินประมาณ 15 เซนติเมตร ส่วนนาข้าวที่มีน้ำขังอยู่ควรตัดสูงกว่าระดับน้ำประมาณ 1 นิ้ว เมื่อตัดแล้วก็นำใบข้าวที่มีวัชพืชผสมมาด้วยบรรทุกใส่รถปิ๊กอัพไปเลี้ยงโค กระบือ โดยจะออกตัดใบข้าวตามแปลงนาชาวนาทุกๆวัน
นางประกาย บูรณะ ชาวนาบ้าโคกวัด ต.นาดี อ.เมือง กล่าวว่า การที่ชาวนาแห่พากันตัดใบข้าวเพื่อให้ต้นข้าวเจริญงอกงามไม่มีหญ้าปกคลุม ชาวนาจะเร่งตัดให้ทันภายในสิ้นเดือนนี้ เพราะหากเลยสิ้นเดือนส.ค.แล้ว ต้นข้าวก็จะตั้งท้องและจะไม่สามารถตัดใบข้าวได้ ส่วนสาเหตุที่มีหญ้าขึ้นเต็มทุ่งนาเพราะแล้งจัด ฝนทิ้งช่วงเมื่อตัดใบข้าวที่มีวัชพืชออกหมด ฝนตกมาท้องนามีน้ำอุดมสมบูรณ์ ใส่ปุ๋ย ฉีดยาฆ่าหญ้า ต้นข้าวก็จะสวยออกรวงได้ผลผลิตเยอะและต้นข้าวก้จะโตปกคลุมแทนต้นหญ้า
น้ำมูลแห้งขอดฝนทิ้งช่วง
จาก โพสต์ทูเดย์
น้ำมูลวิกฤตหนักตื้นเขินแห้งขอดเหตุฝนทิ้งช่วงมานานแม้จะผ่านฤดูฝนร่วม 3 เดือน
เมื่อวันที่ 24 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงาน ฝนตกหนักหลายพื้นที่ส่งผลทำให้จังหวัดนครราชสีมา จันทบุรี ตราด และปราจีนบุรี เผชิญกับปัญหาน้ำท่วมชาวบ้านเดือนร้อนเป็นวงกว้าง แต่ปริมาณน้ำในลำน้ำมูลที่ไหลผ่าน อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ ยังคงวิกฤตตื้นเขินและแห้งขอดในรอบหลาย 10 ปี โดยเฉพาะบริเวณสะพานข้ามระหว่างสตึก - ชุมพลบุรี บ.ท่าเรือ ต.ท่าม่วง อ.สตึก บางช่วงไม่มีน้ำไหลผ่านจนมองเห็นสันดอนทรายโผล่และสามารถเดินข้ามไปมาได้ แม้จะผ่านเข้าสู่ฤดูฝนมาเกือบ 3 เดือนแล้ว แต่ในพื้นที่จ.บุรีรัมย์ยังมีฝนตกน้อยและทิ้งช่วง ทำให้ไม่มีน้ำกักเก็บจากสภาพน้ำมูลที่ตื้นเขินและแห้งขอดดังกล่าวได้ส่งผล กระทบต่อผู้เลี้ยงปลาในกระชังบ้านท่าเรือ ต.ท่าม่วงที่มีอยู่กว่า 30 ราย ซึ่งถือเป็นอาชีพและรายได้หลักของชาวบ้านยังไม่สามารถเลี้ยงปลาในกระชังได้ ประกอบกับน้ำที่เหลืออยู่ในบางช่วงของลำน้ำมูลก็มีสภาพเน่าเสียไม่ไหลเวียน เกษตรกรจึงยังไม่กล้าเลี้ยงเพราะเกรงปลาจะช็อคตายทำให้ประสบปัญหาขาดทุนได้
ทั้งนี้จากผลกระทบดังกล่าวชาวบ้านหลายครอบครัวต้องอพยพไปขายแรงงานทั้งใน และต่างจังหวัดเพื่อหาเงินมาเลี้ยงครอบครัวและชำระหนี้สินที่เกิดจากการกู้ ยืมธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรมาลงทุนเลี้ยงปลารายละหลายแสนบาท นอกจากนี้ข้าวนาปีที่เกษตรกรบ้านท่าเรือเพาะปลูกไว้กว่า 3 เดือนแล้วยังประสบปัญหาขาดน้ำเนื่องจากฝนทิ้งช่วง จนบางรายต้องยอมควักเงินในกระเป๋าซื้อน้ำมันเติมเครื่องสูบน้ำสูบน้ำจากลำ น้ำมูลที่มีสภาพตื้นเขินไปหล่อเลี้ยงต้นข้าวไม่ให้แห้งตาย
นายเกตุ เยี่ยมรัมย์ ชาวบ้านท่าเรือ ต.ท่าม่วง อ.สตึก กล่าวว่า ปกติทุกปีชาวบ้านบ้านท่าเรือจะทำอาชีพเลี้ยงปลาในกระชังมากกว่า 30 ราย แต่ขณะนี้เหลือตัวเองเพียงรายเดียวที่ยังเลี้ยง เพราะคาดว่าจะมีฝนตกทำให้ปริมาณน้ำเพียงพอส่วนที่เหลือยังไม่กล้าเสี่ยงจะ เลี้ยง เนื่องจากผ่านหน้าฝนมา 3 เดือนแล้ว แต่ปริมาณน้ำยังตื้นเขินบางจุดมองเห็นสันดอนทรายโผล่ เกรงว่าหากเลี้ยงจะทำให้ขาดทุน นอกจากนี้ฝนที่ทิ้งช่วงยังส่งผลให้นาข้าวขาดน้ำด้วยเพราะส่วนใหญ่เกษตรกร บ้านท่าเรือจะอาศัยน้ำฝนและน้ำมูลในการเพาะปลูกจึงอยากเรียกร้องให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเข้ามาสำรวจช่วยเหลือ โดยการขุดลอกและสร้างฝาย หรือเขื่อนยางเพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งให้ชาวบ้านมีน้ำเลี้ยงปลาและทำนาได้ตลอด ทั้งปี
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต