เฉือนเนื้อชาวนาโปะพ่อค้า
โดย : ประนอม บุญล้ำ pranom_kt@twittwer
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศปรับหลักเกณฑ์ โครงการรับจำนำข้าวเปลือก นาปรัง
ปี 2555/2556 โดยสั่งลดราคารับจำนำเหลือตันละ 1.2หมื่นบาท และจำกัดเกษตรกรไม่เกินรายละ 5 แสนบาทและให้มีผลตั้งแต่วันที่ 30 มิ.ย.นี้เป็นต้นไป โดยอ้างว่าเป็นไปตามราคาข้าวในตลาดโลกที่ปรับลดลง ทำให้รัฐบาลจำเป็นต้องกลับมาทบทวนราคา และพลันที่รัฐบาลประกาศหลักเกณฑ์ใหม่ก็มีกระแสต่อต้านจากชาวนาออกมาทันที โดยเฉพาะชาวนาในภาคกลางและภาคเหนือตอนล่าง ถึงขั้นขนม็อบมาบุกทำเนียบ เพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลเยื้อเวลาลดราคาจำนำไปถึงช่วงหมดฤดูผลิตข้าวนาปรังเดือนก.ย.นี้ก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่
แต่รัฐบาลยังคงยืนยันว่าไม่สามารถเลื่อนเวลาลดราคารับจำนำได้ และอธิบายเหตุผลว่ามีชาวนาที่ได้รับผลกระทบไม่มากเพียง 2 แสนราย ซึ่งก็สั่งให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) เตรียมเงินไว้กว่าหมื่นล้านเพื่อปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำชดเชยให้ชาวนากลุ่มนี้อยู่แล้ว
คำถามอยู่ไม่ได้อยู่ว่ารัฐบาลเตรียมมาตรการช่วยเหลือชาวนาที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนนโยบายรับจำนำครั้งนี้อย่างไรบ้าง แต่มีประเด็นที่หลายคนสงสัยว่า กรณีโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล ถูกตั้งข้อสงสัยในเรื่องการเปิดเผยข้อมูลต่างๆนานา ทั้งข้อมูลการระบายข้าว ปริมาณข้าวในสต็อก ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และผลขาดทุน แต่ปรากฏว่า บุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กลับไม่มีคำอธิบายใดๆเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ได้เลย ทุกอย่างอยู่ในขั้นตอนชั้นความลับไปหมด
การไม่เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวของรัฐบาล ยิ่งทำให้กระแสสังคมมีความคลางแคลงใจต่อโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะความไม่มั่นใจต่อความโปร่งใสในการดำเนินโครงการในลักษณะลับๆล่อๆของรัฐบาล ที่สำคัญยังเป็นประเด็นที่สั่นสะเทือนต่อเสถียรภาพของรัฐบาลยิ่งลักษณ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ในที่สุด"กิตติรัตน์ ณ ระนอง" รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลังก็ไปหาบันไดมาให้ รัฐบาลพาดลงด้วยการอ้างถึงราคาข้าวในตลาดโลก และการรักษาวินัยการเงินการคลัง จำเป็นต้องลดราคารับจำนำข้าวเหลือ 1.2 หมื่นบาทต่อตันทันที พร้อมจำกัดเพดานรับจำนำเหลือรายละไม่เกิน 5 แสนบาท ทั้งๆที่เหลือเวลาอีกประมาณ 3เดือน ก็จะสิ้นโครงการปี 2555/2556 อยู่แล้ว ขณะที่รัฐบาลปรับลดราคารับจำนำ ทำให้ฝั่งรายได้ของชาวนาลดลง แต่ฝั่งของพ่อค้าและโรงสี ที่มีรายได้เช่นกัน นั่นคือ รายได้จากค่าบริหารจัดการข้าวที่รับจำนำ เช่น ค่าแปรสภาพ ค่าเช่าโกดัง ค่าเก็บรักษา และค่าใช้จ่ายอื่นๆอีกจิปาถะอีกตันละ 500 บาท รวมฤดูผลิตละประมาณ 7,000 ล้านบาท ที่ยังไม่มีการปรับลดลง
เท่ากับว่า รัฐบาลตัดสินใจตัดรายได้ชาวนาเหลือตันละ 1.2 หมื่นบาท (ซึ่งในทางปฏิบัติแล้วก็มีชาวนาไม่มากที่จะได้รับราค่าเต็มที่ 1.2 หมื่นบาทต่อตัน หลังหักความชื้น 15%เฉลี่ยชาวนาจะได้รับรายได้อยู่ประมาณ 9,000-11,000บาทต่อตันเท่านั้น) ขณะที่ไม่ยอมตัดรายได้ในฝั่งพ่อค้าหรือโรงสี โดยเฉพาะรายได้จากค่าบริหารโกดัง หรือ รายได้อื่นๆที่ไม่เป็นปรากฏ โดยเฉพาะการนำข้าวเปลือกออกไปหมุนเวียนหากำไรเข้ากระเป๋าตัวเองก่อน ที่จะหาข้าวมาใส่โกดังชดเชยส่วนที่นำออกไป ด้วยความร่วมมือของผู้อำนาจทางการเมืองที่ไม่เปิดเผยตัวตน
ฉะนั้นการปรับลดราคารับจำนำข้าวของรัฐบาล โดยอ้างการรักษาวินัยการเงินการคลังและราคาตลาดโลก จึงไม่อาจเป็นคำตอบที่ทำให้สังคมหายคลางแคลงใจได้ ตรงข้ามสิ่งที่รัฐบาลทำกลับเป็นแค่การลงโทษชาวนาที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เพื่อกลบเกลื่อนขบวนการฉ้อฉลในโครงการจำนำข้าวเสียมากกว่า
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต