จากประชาชาติธุรกิจ
กุ้ง ไทยกระอัก ผลผลิตหาย 40% ราคาหน้าบ่อพุ่งสูงถึง 240-250 บาท หวั่นตายทั้งระบบ ขณะที่พาณิชย์ยังเมิน ไม่ยอมช่วยเหลือ สมาคมแช่เยือกแข็งดิ้นขอให้ทบทวน ประสานคลัง-แบงก์ชาติช่วยอุ้ม กรมประมงเผยพ่อแม่พันธุ์อ่อนแอต้นตอโรคตายด่วน
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ นายกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้สถานการณ์โรคกุ้งต่ายด่วน (อีเอ็มเอส) ยังไม่ดีขึ้น หลังรอดูสถานการณ์การเลี้ยงช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และตลอดปีนี้มีปริมาณกุ้งไม่เพียงพออย่างหนัก ตัวเลขไตรมาส 1 ออกมาเพียง 63,000 ตัน เดือนเมษายน 13,000 กว่าตัน เดือนพฤษภาคมเพียง 8,000 กว่าตัน เดือนมิถุนายนประมาณการว่า 10,000 ตันเศษ รวม 2 ไตรมาส 94,000 ตัน ไม่ถึง 100,000 ตัน ทั้งที่ 2 ไตรมาสควรมีไม่ต่ำกว่า 200,000 ตันในภาวะปกติ และในภาวะช่วงการเลี้ยงดี ๆ ตัวเลขเคยขึ้นไปถึง 250,000 ตัน ตอนนี้ขาดแคลนมากกว่า 50% ไตรมาส 3 คาดการณ์ว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่ความมั่นใจของคนเลี้ยงยังไม่เพียงพอ กลัวลงเลี้ยงแล้วตาย ส่วนคนที่เริ่มลงเลี้ยงยังไม่กล้าลงครบทุกบ่อ เช่น มี 10 บ่อ อาจลงเลี้ยง 5 บ่อก่อน และมีการลงเลี้ยงในปริมาณบาง เพื่อเลี้ยงให้รอด ฉะนั้นไตรมาส 3 ยังคาดการณ์ไม่ได้ว่าผลผลิตจะออกมาเท่าไหร่
คาดว่าภาพรวมทั้งปี 2556 ปริมาณผลผลิตกุ้งรวม 250,000-300,000 ตัน ซึ่งกรมประมงได้ปรับลดตัวเลขผลผลิตกุ้งเป็นทางการจาก 400,000 ตัน เหลือเพียง 300,000 ตัน เท่ากับน้อยลงกว่าภาวะปกติถึง 50% จากภาวะปกติปริมาณผลผลิตกุ้งไทย 500,000-550,000 ตัน ดังนั้นคาดว่าปริมาณการส่งออกกุ้งทั้งปี 2556 จะลดลง 40% จากตัวเลขการส่งออกปี 2555 อยู่ที่ 348,390 ตัน แต่มูลค่าอาจลงไม่เกิน 20% จากมูลค่าการส่งออกปี 2555 ที่อยู่ประมาณ 95,473 ล้านบาท กุ้งขาดแคลนมากทำให้มีการตัดราคาแย่งกันซื้อวัตถุดิบจนราคาพุ่งขึ้นไปสูงจน ผิดปกติและเกินกว่าราคาตลาดไปมาก
สิ่งที่น่าห่วงมากคือ ผู้ส่งออกกุ้งไทยจะสูญเสียตลาด ในอนาคตผู้นำเข้าในต่างประเทศจะหนีไปซื้อกุ้งจากประเทศอื่นหมด ภัตตาคารร้านอาหารในต่างประเทศเปลี่ยนเมนูกุ้งไปเป็นโปรตีนอย่างอื่น ในส่วนของซูเปอร์มาร์เก็ตที่นำเข้าจะลดพื้นที่วางสินค้ากุ้ง
สัปดาห์ หน้าสมาคมจะนัดสมาคมผู้เลี้ยงทั่วประเทศไทยมาหารือกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล และอธิบายภาพความเป็นจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับสมาชิกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็ง ไทยที่เป็นผู้ส่งออก ขณะที่ผู้เลี้ยงจะให้รายละเอียดสภาพการเลี้ยง หาทางร่วมมือกัน ทำวัตถุดิบให้เพิ่มขึ้น หาทางจัดสรรราคาให้เหมาะสม อย่าทำให้เสียตลาด
"ทุกคนต้องลดขนาดการผลิตลงมา ลดจำนวนคนงานลงมาให้เหมาะสม ต้องปรับสินค้าเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น ขณะที่การปรับลดขนาดลงทำให้บางโรงงานต้องปิดชั่วคราว เพราะไม่มีกุ้ง แต่จ่ายเงินชดเชยให้พนักงานตามกฎหมายแรงงาน"
สำหรับการขอนำเข้ากุ้ง จากต่างประเทศยังบอกปริมาณไม่ได้ แต่ทางสมาคมได้ประสานกับกรมประมง และกรมการค้าต่างประเทศ เป็นการนำเข้ามาอย่างถูกต้อง แต่ขอให้อยู่ในกฎระเบียบที่สมาคมวางไว้ 4 ประการ คือ 1.ถ้านำเข้ามาจากประเทศที่มีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) และมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) ห้ามส่งออกไปสหรัฐ โดยเฉพาะสินค้ากุ้งต้ม และกุ้งดิบ 2.กุ้งที่นำเข้าต้องไร้สารตกค้าง ปลอดเชื้อโรค ปลอดภัยที่จะนำมาแปรรูปต่อ 3.ต้องนำเข้ามาในปริมาณและราคาที่เหมาะสม ไม่ให้กระทบเกษตรกรภายในประเทศ นำเข้ามาเพื่อชดเชยส่วนที่ขาดจริง ๆ 4.ต้องมีกระบวนการสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ทุกขั้นตอน
นายพจน์กล่าว ต่อว่า สำหรับข้อเรียกร้องที่ยื่นขอความช่วยเหลือผ่านกระทรวงพาณิชย์ ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา 3 ประเด็น ได้แก่ 1.ขอให้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) จัดสรรงบประมาณช่วยเหลือ
ผู้ประกอบการรายย่อย 2.ให้รัฐบาลค้ำประกันเงินกู้อัตราดอกเบี้ยต่ำ และ 3.ให้ประสานหน่วยงานต่าง ๆ ผ่อนปรนการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ ลดภาระผู้ประกอบการ
ล่าสุด ทางกระทรวงพาณิชย์ได้ตอบหนังสือกลับไปยังกรมประมงว่า เงินช่วยเหลือเกษตรกรไม่เข้าเงื่อนไขของ คชก. ทางสมาคมได้หารือกับ ดร.วิมล จันทรโรทัย อธิบดีกรมประมงว่า เกษตรกรเดือดร้อนจริง ๆ สมาคมจึงได้ยื่นหนังสือฉบับที่ 2 ให้กระทรวงพาณิชย์ทบทวนอีกรอบใน 2 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1.ขอให้ คชก.ช่วยชดเชยให้กรณีลงกุ้งแล้วตายด้วยโรค
อี เอ็มเอส 2.ขอรอดูสถานการณ์ถึงสิ้นเดือนพฤษภาคม 2556 ว่ากุ้งเป็นอย่างไร ซึ่งตอนนี้ทราบแล้วว่ากุ้งไม่มีนาน จึงขอให้กระทรวงพาณิชย์ประสานกับกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ขอมาตรการช่วยเหลือทางการเงินแก่สมาชิกสมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย ขอผ่อนปรนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับสมาคมธนาคารอีกครั้ง เพื่อลดผลกระทบของผู้ประกอบการและเกษตรกร โดยอธิบดีกรมประมงจะร่วมชี้แจงด้วย ขณะนี้รอกระทรวงพาณิชย์นัดหมาย ตอนนี้เกษตรกรไม่กล้าลงกุ้ง เพราะมีความเสี่ยง
แหล่งข่าวจากวงการอุตสาหกรรมกุ้งไทยเปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ช่วงที่ ผ่านมาปริมาณผลผลิตกุ้งที่มีน้อย ทำให้ผู้ส่งออกรายหลายแย่งกันเสนอซื้อกุ้งในราคาที่สูง โดยกุ้งขนาด 60 ตัวต่อกิโลกรัม ราคาตลาดประมาณ 220-225 บาท แต่ราคาหน้าบ่อ 240-250 บาทต่อกิโลกรัม เพื่อหาวัตถุดิบในการรักษาฐานลูกค้าไว้ ขณะที่ราคาส่งออกไม่สามารถปรับขึ้นได้สูงมากนัก เพราะมีประเทศคู่แข่งจำนวนมาก
ขณะนี้ราคากุ้งไทยสูงกว่าราคากุ้งใน ต่างประเทศถึง 50 บาทต่อกิโลกรัม ส่งผลให้ลูกค้าหลายรายเริ่มเบนเข็มหันไปซื้อกุ้งจากอินเดียที่ราคาถูกกว่า และช่วงที่ผ่านมาทางประเทศอินเดียเองปรับเพิ่มปริมาณการเลี้ยงกุ้งจาก 100,000 ตัน เป็น 300,000 ตัน เพื่อรองรับความต้องการในการส่งออกที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้ผู้ประกอบการไทยเองหวั่นเกรงว่า ในอนาคตหากอินเดียปรับปรุงการเลี้ยงดีขึ้น อาจแย่งส่วนแบ่งตลาดส่งออกกุ้งไทย
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต