สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ผักอินทรีย์ 30 ล้านเยน

จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ชั้น 5 ประชาชาติ โดย สาโรจน์ มณีรัตน์

ด้วยความที่ต้องออกไปทำข่าวอยู่เสมอ ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมถึงต่างประเทศในบางครั้งด้วย จึงทำให้มีโอกาสพบเห็นเรื่องราวต่าง ๆ ของผู้คนอยู่เสมอ

เหมือนอย่างไม่นานนี้ ผมมีโอกาสร่วมทริปไปดูงานเกษตรอินทรีย์ ที่เมืองชิบะ เมืองคานากาวะ และเมืองไซตามะ ประเทศญี่ปุ่น โดยมีกลุ่มธุรกิจกระทิงแดงเป็นผู้ส่งเทียบเชิญ ยอมรับครับว่าตลอด 2-3 ปีให้หลัง มีโอกาสร่วมทริปไปดูงานเกษตรอินทรีย์ของหลายบริษัทมาก

ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการปลูกข้าวอินทรีย์ ที่อยู่ในเขตภาคอีสานของประเทศไทย

ปัญหาที่พบนอกจากจะเกี่ยวข้องกับบริเวณโดยรอบของการปลูกข้าวอินทรีย์เพราะต้องยอมรับในประเทศไทยเอง เกษตรกรส่วนใหญ่ปลูกข้าวอินทรีย์ไม่ถึง 1%

ดังนั้นเมื่อเกษตรกร A ปลูกข้าวอินทรีย์ แต่เกษตรกร B-C-D ไม่ปลูกด้วย เพราะยังใช้ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง ยาฆ่าหญ้า ทำอย่างไรผลผลิตของเกษตรกร A ก็ไม่มีทางสัมฤทธิผล

เนื่องจากระบบชลประทานของบ้านเราส่งผ่านน้ำมายังคลองส่งน้ำย่อยเพื่อเข้านามีสารปนเปื้อนเจือปนทั้งสิ้น

เกษตรกรA จึงต้องทำความเข้าใจกับเกษตรกร B-C-D เพื่อให้มีความคิดไปในทางเดียวกันว่าการปลูกข้าวอินทรีย์ดีต่อสุขภาพของตัวเองอย่างไร และดีต่อผู้บริโภคอย่างไร

ซึ่งกว่าเกษตรกรเหล่านั้นจะเข้าใจต้องใช้เวลาหลายปี

บางพื้นที่เห็นด้วย

แต่บางพื้นที่ก็ไม่เห็นด้วย

อีก เรื่องหนึ่งที่พบจากการลงพื้นที่ในภาคอีสานอีกอย่างหนึ่งคือเดี๋ยวนี้ลูก หลานซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ของเกษตรกรรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายายเริ่มให้ความสำคัญ กับการทำเกษตรอินทรีย์มากขึ้น

บางคนเคยทำโรงงานในเมืองหลวง

หรือทำงานในเขตอุตสาหกรรมยังหัวเมืองต่างจังหวัด แต่เมื่อเห็นพ่อแม่ทำเกษตรอินทรีย์แล้วให้ผลผลิตค่อนข้างดี พวกเขาจึงค่อย ๆ หันมาปลูกข้าวอินทรีย์บ้าง บางส่วนปลูกพืช ผัก ผลไม้อินทรีย์บนที่ว่างเปล่าด้วย

ที่ไม่เพียงจะทำให้พวกเขากลับไปใช้ชีวิตในบ้านเกิด

ยังทำให้พวกเขาเหล่านั้นอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเป็นครอบครัวจนทำให้ครอบครัวชนบทเริ่มแข็งแรง

แต่กระนั้นยังพบอีกปัญหาหนึ่งคือการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการบริหารจัดการผลผลิตของชุมชน เพราะถ้าสามารถตั้งราคากลางมาตรฐานได้ พวกเขาก็ไม่ต้องนำสินค้าไปส่งให้กับพ่อค้าคนกลาง ไม่ถูกกดราคา ไม่ต้องเสียเปรียบ เพราะพ่อค้าเหล่านี้จะเข้ามาซื้อผลผลิตที่เทือกสวนไร่นาของเขาเอง

ในราคาที่ตัวเองต้องการ

ในราคาที่เหมาะสมและยุติธรรม

เรื่องเดียวกันนี้เมื่อหันไปดูพื้นที่ของเมืองชิบะ เมืองคานากาวะ และเมืองไซตามะ จึงพบเรื่องแปลกใจที่ว่าเกษตรกรของทั้ง 3 เมืองส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่อายุเฉลี่ย 30 ต้น ๆ

ทุกคนเคยเป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อนในกรุงโตเกียว

เช้าไปทำงาน กลางวันพักกินข้าว ทำงานจนถึงค่ำ แล้วนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านด้วยอาการคอตกทุกวัน ชีวิตของพวกเขาเป็นอยู่อย่างนี้ปีแล้วปีเล่า จนวันหนึ่งพวกเขาเริ่มถามตัวเองว่าความสุขของชีวิตอยู่ตรงไหน

จนพบคำตอบว่า ความสุขคือการได้กลับมาทำอะไรที่บ้าน

พวกเขาสำรวจตัวเองจนพบว่าที่บ้านของเขามีที่นาอยู่ ทำไมถึงไม่มารวมกลุ่มกันทำเกษตรอินทรีย์ เพราะนอกจากจะได้กินพืช ผัก ผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพตัวเองแล้ว ยังทำให้ผู้บริโภคได้กินของที่ปลอดสารพิษด้วย

พวกเขาทั้งหมด 8 คน รวมกันปลูกพืช ผักอินทรีย์ บนพื้นที่กว่า 25 ไร่ แบ่งการบริหารจัดการออกเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่ง 4 คน คิดค้นพัฒนาในการปลูกพืชผักอินทรีย์ ส่วนอีก 4 คน ที่เหลือทำหน้าที่ในการบริหารจัดการทางด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์

จนที่สุดเขาสามารถสร้างแบรนด์ของพวกเขาว่าฟาร์มไอโยะ

ทางหนึ่งนำพืชผักเหล่านี้ไปวางขายในร้านเกษตรชุมชนของพวกเขาเอง โดยมีคนในชุมชนเหล่านั้น รวมถึงชาวบ้านรอบข้างมาซื้อผลผลิต ขณะที่อีกทางหนึ่ง เขาส่งสินค้าไปยังร้านอาหารในชุมชน และอีกทางหนึ่ง เขาขายตรงให้กับเจ้าของร้านอาหารในกรุงโตเกียวที่เดินทางมายังฟาร์มของพวกเขา

โดยทุกแพ็กเกจจิ้งที่บรรจุหีบห่อสินค้าจะบอกถึงที่มาของชื่อเกษตรกรวันปลูก วันเก็บผลผลิต เพื่อให้ลูกค้าทราบว่าเขาบริโภคพืชผักเหล่านี้จากเกษตรกรคนใด เชื่อไหมครับว่าหลังจากที่พวกเขาทำเกษตรอินทรีย์ผ่านไประยะหนึ่ง ต่างได้รับการตอบรับอย่างกว้างขวาง

หลายคนมาศึกษาดูงานจนฟาร์มไอโยะกลายเป็นแหล่งเรียนรู้

สำคัญไปกว่านั้นพวกเขาได้อยู่บ้านกับครอบครัวที่อบอุ่น โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อปีประมาณ 30 ล้านเยน หรือ 10 ล้านบาทเป็นผลตอบแทน ซึ่งผมเห็นแล้วก็อยากเชิญชวนทุกคนให้หันมาปลูกพืชผักผลไม้อินทรีย์กัน

รายละเอียดมีอีกมากครับ

แล้วจะเล่าให้ฟังอีกครั้งในหน้าซีเอสอาร์นะครับ

โปรดจงติดตามด้วยใจระทึกพลัน?


ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,#อุปกรณ์แค้มปิง,#อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต

Tags : ผักอินทรีย์ 30 ล้านเยน

view