สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เวียดนามก็เจ็บ จังหวัดเดียวทลายสวนยางแล้วกว่า 11,000 ไร่ หนีราคาดิ่งเหว

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ราคายางพาราที่ตกต่ำลงเกือบ 70% จากช่วงปีที่เคยรุ่งโจจน์ ทำให้ทุกภาคส่วนต้องปรับกันอย่างเจ็บปวด ไปตามทางของใครมัน ทั้งผู้ปลูก ผู้ผลิตและผู้ส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวสวนยาง ซึ่งที่ผ่านมาได้ตัดต้นยางทิ้งไปแล้วอย่างมากมาย พบจังหวัดเดียวเหี้ยนเตียนไปแล้วกว่า 11,000 ไร่ โรงงานยางแผ่นหลายแห่งปิดลง ทำให้เกิดปัญหาคนว่างงานติดตามมา และ ทุกฝ่ายยังไม่มีทางออกในขณะนี้
       
       ตามรายงานของหนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋ หนังสือพิมพ์ขายดีที่สุดที่พิมพ์จำหน่ายในนครโฮจิมินห์ ปัจจุบันเกษตรกรที่หันไปปลูกยางกันมากมาย ในช่วงหลายปีมานี้ ต้องกันไปปลูกพืชเดิมๆ ที่เคยทำกันมาเมื่อก่อน เพราะไม่มีความหวังใดๆ กับราคายางในปัจจุบัน จึงต้องตัดต้นทิ้งเพื่อลดค่าใช้จ่าย และ พลิกผืนดินใหม่ปลูกพืชชนิดอื่นแทน
       
       เมื่อปี 2554 ราคายางส่งออกสูงถึง 5,000 ดอลลาร์ต่อตัน (5 ดอลลาร์/กก.) แต่ราคาในเดือน ก.ย.ปีนี้เหลือเพียงตันละ 1,580 ดอลลาร์ (1.58 ดอลลาร์/กก.) ทั้งนี้เป็นตัวเลขของกระทรวงเกษตรและพัฒนาชนบท ซึ่งหมายความว่าเกษตรกรทั่วไปต่างขาดทุนกันทั่วหน้า หลายคนบอกว่าราคานี้ไม่คุ้มกับค่าปุ๋ย และ ค่าจ้างคนงานกรีดยางเสียด้วยซ้ำ
       
       เกษตรกรใน จ.บี่งเฟื้อก (Binh Phuoc) ผู้หนึ่งกล่าวว่า ขณะนี้กำลังเป็นฤดูกรีดยางที่สวนของเขา แต่ก็ต้องปล่อยมันทิ้งไป เพราะไม่รู้จะกรีดมาทำไม ซึ่งชาวสวนยางคนอื่นๆ ในจังหวัดนี้ก็ไม่ได้ต่างกัน ในขณะที่เพื่อนบ้านของเขาตัดต้นยางทิ้งไปแล้วทั้งสวน เริ่มพลิกดินใหม่เตรียมปลูกมันสำปะหลัง
       
       นายหวูวันเบือง (Vu Van Buong) เกษตรกร จ.บี่งเฟื้อกอีกคนหนึ่ง บอกหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ว่า ครอบครัวมีสวนยางอยู่ 12 เฮกตาร์ (75 ไร่) ต้นยางอายุ 12 ปี ตอนนี้ตัดทิ้งไปหมดแล้ว เตรียมปลูกมะม่วงหิมพานต์
       
       บี่งเฟื้อกได้ชื่อเป็นศูนย์กลางสวนยางในภาคใต้เวียดนาม แต่ในปัจจุบันเกษตรกรตัดต้นยางทิ้งไปแล้ว รวมกันเป็นจำนวนกว่า 1,800 เฮกตาร์ (กว่า 11,250 ไร่) เพื่อปลูกพืชอย่างอื่น หนังสือพิมพ์เตื่อยแจ๋อ้างตัวเลขสำนักงานเกษตรจังหวัด
       
       ราษฎรจังหวัดนี้ พากันหันไปปลูกยางพารา หลังจากราคาพุ่งขึ้นสูงในช่วงปี 2554 ซึ่งทำให้มียางออกสู่ตลาดมากมายก่ายกองในประเทศ จนเหลือต้องสต็อกเก็บเอาไว้เฉยๆ ยางที่สะสมอยู่ในสต็อกมากมาย ทำให้ราคาในประเทศเริ่มดิ่งลง ตั้งแต่่ปี 2556 เป็นต้นมา
       
       เหตุผลสำคัญที่ทำให้ราคายางดิ่งลงสู่หายนะก็คือ ความต้องการในตลาดโลกที่ค่อยๆ ลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ จีน ซึ่งเป็นลูกค้ายางธรรมชาติรายใหญ่ที่สุดในโลก ทั้งนี้เป็นรายงานของสภาธุรกิจยางแห่งอาเซียน (ASEAN Rubber Business Council) หรือ ARBC
       
       "ปัจจัยอื่นๆ นอกจากนี้ ยังรวมทั้งความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ ที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องทางโซนยุโรป และ ในภูมิภาคอื่นๆ ของโลก รวมทั้งราคาน้ำมันดิบที่ตกวูบลง กับ ผลกระทบต่อสินค้าอื่น เช่น ยางดิบ" ARBC ระบุในคำแถลงฉบับหนึ่งเมื่อวันที่ 10 ก.ย.
       
       สภาดังกล่าว เป็นองค์กรรวมของ สมาคมค้ายางจากไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และ กัมพูชา ซึ่งประเทศเหล่านี้ผลิตยางรวมกันได้ ราว 76.2% ของปริมาณที่ผลิตได้ทั่วโลก
       
       ARBC กล่าวว่า ราคายางตกต่ำลากยาวเช่นนี้ เป็นสถานการณ์ที่น่าห่วง และ เป็นไปได้ว่า เกษตรกรรายย่อยจะต้องหยุดกรีดยาง ปล่อยยางทั้งสวนทิ้งไป หันไปหากิจกรรมอื่นๆ ที่น่าสนใจมากกว่า ขณะเดียวกันก็จะทำให้ปริมาณยางออกสู่ตลาดลดลง ไม่พอกับความต้องการของผู้ผลิตสินค้าในวันข้างหน้า
       
       องค์กรนี้กล่าวอีกว่า ราคายางที่ตกลงสุดขีดขณะนี้ จะส่งผลกระทบรุนแรงต่อเกษตรกรทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่พึ่งพายางพาราเป็นรายได้หลัก และ ด้วยค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพสูงขึ้น คนเหล่านี้ยิ่งจะประสบความยากลำบากในการดำเนินชีวิตอย่างเหมาะสม.


ไร่รักษ์ไม้,Eosgear,มูลไส้เดือน,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,victorinox,แปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,servival Kit,ราคา,อร่อย

Tags : เวียดนามก็เจ็บ จังหวัดเดียวทลายสวนยางแล้วกว่า 11 , 000 ไร่ หนีราคาดิ่งเหว

view