สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

กรณี แช่แข็งมนุษย์ ชัยวัฒน์ คุประตกุล ถึงจินตนาการเทคโนโลยีจาก นิยายไซ-ไฟ ที่ใกล้เป็นจริง

จากประชาชาติธุรกิจ

โดย เชตวัน เตือประโคน และพิมพ์ชนก พุกสุข
ที่มา นสพ.มติชนรายวัน



แวบแรกที่เห็นข่าวการ "แช่แข็ง" ร่างของ "น้องไอนส์" เมทรินทร์ เนาวรัตน์พงษ์ เพื่อต่อสู้กับโรคมะเร็งสมองซึ่งด้วยความก้าวหน้าทางการแพทย์ในชั่วโมงนี้ ยังไม่อาจรักษาได้ อาจทำให้หลายคนสงสัย เกิดการตื่นตัว จนนำไปสู่การถกเถียงกันในสังคมอย่างกว้างขวาง ทั้งกับประเด็นศีลธรรม, ความหวังสุดเอื้อมของผู้เป็นพ่อแม่, ความรุดหน้าของเทคโนโลยี ฯลฯ

สุดแท้แล้วแต่จะคิด แต่อย่างน้อย ความหวังก็ยังมีให้ได้หวังอยู่ในอนาคต

กับที่ผ่านๆ มา ปฏิเสธไม่ได้ว่าความก้าวหน้าของเครื่องไม้เครื่องมือและการค้นพบวิธีต่อสู้กับโรคร้ายต่างๆ ในวงการแพทย์นั้นรวดเร็วมาก รุดหน้าเสียจนหลายๆ โรคก็ไม่อาจทำอะไรมนุษย์เราได้อีกแล้ว นับตั้งแต่โรคติดต่อต่างๆ ที่ทุกวันนี้มีวัคซีนป้องกัน หรือกระทั่งโรคเอดส์ ที่แม้จะยังหาทางรักษาให้หายขาดไม่ได้ แต่ก็มียาที่ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างเป็นปกติต่อไปในสังคม

นั่นเองที่ทำให้ยังเห็นความหวังรออยู่ที่ปลายอุโมงค์

มากกว่านั้น นี่อาจเป็นกรณีศึกษาของวงการแพทย์ต่อไป

กับข้อถกเถียงมากมาย ชัยวัฒน์ คุประตกุล มีข้อสังเกตและข้อเท็จจริงบางประการอีกด้านมาเสนอให้สังคมได้รับรู้ เข้าใจ กับเทคโนโลยีต่างๆ ที่ครั้งหนึ่งในอดีตเคยปรากฏอยู่แต่ใน "นิยายไซ-ไฟ" หรือ "นิยายวิทยาศาสตร์" เท่านั้น แต่แล้วในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ หลายสิ่งหลายอย่างได้ถูกค้นคว้าพัฒนาจนเกิดขึ้นจริง และใกล้จริงในอีกไม่นาน

นี่คือคำบอกเล่าต่างๆ ของนักวิทยาศาสตร์และนักเขียน ที่ศึกษาเรื่องราวเหล่านี้มานานนับทศวรรษ

แนวคิดเรื่องการแช่แข็งมนุษย์เพื่อรอวันฟื้นในอนาคต?

เริ่มต้นจริงๆ จากนิยายวิทยาศาสตร์ ด้วยเหตุผลสองส่วนคือ 1.จากความอยากเป็นอมตะของมนุษย์ และ 2.เรื่องการเดินทางในอวกาศที่ต้องใช้เวลานานมาก มีภาพยนตร์หลายเรื่องใช้แนวคิดนี้ เช่น สตาร์ เทรค (Star Trek) หรือล่าสุดก็ อินเตอร์สเตลลาร์ (Interstellar) ก็มีกระบวนการนี้ด้วยเช่นกัน มันเป็นพล็อตที่นักเขียนเขียนไว้ในนิยายวิทยาศาสตร์เยอะมาก แต่ที่เป็นวิทยาศาสตร์จริงๆ เริ่มต้นกลางๆ ศตวรรษที่ 20 หรือประมาณห้าสิบปีมาแล้ว เริ่มจากครูวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง เขียนหนังสือเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเป็นอมตะ โดยมองว่า การแช่แข็งมนุษย์แบบนี้สามารถทำได้ เพียงแต่ตอนนั้นยังไม่รู้วิธีการที่ชัดเจน จากนั้น นักวิทยาศาสตร์ก็พัฒนาเรื่อยมา

ถามว่าทำไมต้องแช่แข็ง ก็เพื่อรักษาเซลล์ อย่างกรณีของน้องไอนส์ก็คือเซลล์สมองและก็เซลล์มะเร็งด้วย กรณีที่เป็นข่าว นี่คือการเสียชีวิตในเชิง

"คลินิคอล เดด (Clinical Dead)" หรือเชิงการแพทย์ คือหัวใจหยุดเต้น วัดคลื่นสมองแล้วไม่มีสัญญาณ คือตายแล้ว ตามกฎหมาย แต่ในเชิงวิทยาศาสตร์นั้นมีหลายระดับ ซับซ้อนกว่า กรณีเสียชีวิตทางการแพทย์อย่างนี้ เมื่อหัวใจหยุดเต้น คลื่นสมองไม่มี ตรงนี้แช่แข็งปุ๊บสามารถรักษาไว้ได้เลย และตอนนี้เรามีประสบการณ์มาก มีกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มากพอแล้ว เก็บไว้เลย 50 ปี 100 ปี 1,000 ปี สามารถทำได้

ปัญหาใหญ่จริงๆ ของกระบวนการนี้?

ปัญหาใหญ่ในการแช่แข็งคนก็คือน้ำ ในตัวเราเต็มไปด้วยน้ำ คือกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ในร่างกายมนุษย์นั้นเป็นของเหลว ซึ่งพออุณหภูมิถึง 0 องศาเซลเซียส มันจะแข็งตัวเป็นน้ำแข็ง แล้วมีปัญหา 2 อย่าง คือ 1.ปริมาตรมันมากขึ้น กับ 2.มันเป็นผลึก ที่มีเหลี่ยมคม เป็นอันตรายต่ออวัยวะ เม็ดเลือด รวมถึงทุกอย่างที่อยู่ในร่างกายนั่นแหละ

กระบวนการจริงๆ แล้วไม่ซับซ้อน มนุษย์เรามีชีวิตต้องใช้เลือด สมองต้องใช้เลือด แต่ถ้าแช่แข็งแล้วคือต้องการให้ทุกอย่างหยุดนิ่งแต่เซลล์ต้องไม่เสื่อม ต้องให้มีของเหลวอยู่ เพราะฉะนั้น ก็พัฒนาวิธีการนี้โดยใช้สารประเภท

กลีเซอรีน ฉีดเข้าไปแทน ขั้นต้นสำหรับกระบวนการคือ ทำอย่างไรให้มีของเหลวในตัวทั้งที่ยังเป็นของเหลว ที่อุณหภูมิซึ่งตอนนี้รู้ชัดแล้วว่า -196 องศาเซลเซียสที่ไนโตรเจนเหลว จึงจะสามารถรักษาเซลล์ไว้ได้ จากนั้น คือการดูดเอาน้ำออกจากร่าง แล้วฉีดสารกลีเซอรีนเข้าไปแทนน้ำ เพื่อให้มีของเหลวในตัวได้โดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อเซลล์ที่ต้องรักษาสภาพ แช่แข็งร่างกายไว้ที่อุณหภูมิ -196 องศาเซลเซียส ด้วยความหวังที่จะปลุกขึ้นมาในอนาคต นี่คือหลักการ และเทคนิคต่างๆ ก็พัฒนามากว่า 50 ปีแล้ว

กว่า 50 ปีแล้วก้าวหน้าขึ้นมากมั้ย?

ก้าวหน้าถึงขั้นที่เรียกว่า ขณะนี้มีร่างกายคนที่ถูกแช่แข็งไว้อย่างน้อย 270 คนทั่วโลก ประเทศอื่นไม่ค่อยทำหรอก ส่วนใหญ่เป็นสหรัฐอเมริกา แต่สำหรับกรณีของน้องไอนส์ เป็นของมูลนิธิ คือ อัลคอร์ไลฟ์ เอ็กซ์เทนชั่น ฟาวเดชั่น (Alcor Life Extension Foundation) โดยมูลนิธินี้เปิดดำเนินการมาประมาณสักทศวรรษที่ 70 ซึ่งผู้ก่อตั้งเป็นผู้ศึกษาเรื่องนี้ สำหรับชื่อ "อัลคอร์" น่าสนใจว่าเป็นชื่อดาวฤกษ์ดวงหนึ่งอยู่ที่กลุ่มดาวไถ ห่างจากโลกประมาณสัก 82 ล้านปีแสง

ถึงวันนี้ เฉพาะที่อัลคอร์ฯมีคนที่ถูกแช่แข็งไว้มากกว่า 100 คน แต่น้องไอนส์เป็นคนที่อายุน้อยที่สุด

การทำเรื่องนี้ในตอนแรกเขาไม่ได้นึกถึงเด็ก หากแต่เป็นผู้ใหญ่ คือคนที่มีคุณค่า อย่างพวกนักวิทยาศาสตร์สำคัญๆ กวีหรือศิลปินเก่งๆ ที่ต้องตายก่อนเวลาอันควรด้วยโรคที่ยังไม่มียารักษาในปัจจุบัน ก็หวังจะแช่ไว้ แล้วจนกระทั่งวิทยาการทางการแพทย์ในอนาคตพบวิธีการรักษา ก็จะปลุกเขาขึ้นมา ด้วยความหวังว่าเขาจะฟื้นและรักษาได้

ในอนาคตเมื่อต้องการให้ฟื้น?

ก็ค่อยๆ เพิ่มอุณหภูมิ แล้วก็ใช้เทคโนโลยีการแพทย์ในยุคนั้นมารักษา คือทุกวันนี้คนที่ถูกแช่แข็งล้วนแต่ตายหมดแล้วในทางการแพทย์ ไม่มีคนเป็นๆ แช่แข็ง เพราะกฎหมายกำหนดไว้ แต่ก็อย่างที่บอกว่าไม่ใช่ทางวิทยาศาสตร์ เพราะมันซับซ้อนกว่านั้น

ที่ผมติดตามข่าว ผมเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อ แต่ถามว่าคุณพ่อหวังว่าจะเห็นลูกฟื้นมาปกติไหม ก็เป็นความหวัง ความผูกพัน โอกาสมีแต่แม้จะน้อยแค่ไหน คว้าได้ก็ต้องคว้าไว้ก่อน แต่สิ่งหนึ่งที่เขาตัดสินใจยอมทำก็คือผลในทางวิชาการ คือทุกๆ เวลาที่ผ่านไป นักวิทยาศาสตร์จะได้ข้อมูล ความรู้ใหม่ขึ้นมา นี่คือประโยชน์ในความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าถึงตอนสุดท้ายที่จะปลุกจริงๆ ก็อาจเป็นความหวังเล็กน้อย

ถามว่าจะเป็นปกติมั้ย แช่ไว้สัก 30 ปี แม้เซลล์จะปกติ แต่สิ่งที่อยู่ภายใน การทำงานนั้นจะเหมือนตอนถูกแช่หรือเปล่า นี่ไม่แน่ใจ จนบางคนมองว่า เป็นความหวังที่ลมๆ แล้งๆ มากเกินไปสำหรับการกลับมาเป็นปกติ คือ ในแง่การรักษาสภาพไปเรื่อยๆ นั้นไม่มีปัญหา ทำได้ แต่ถามว่า โอกาสที่ปลุกขึ้นมาแล้วจะเหมือนเดิมมากน้อยแค่ไหน ตรงนี้เราไม่มีข้อมูล

ประเด็นใหญ่สำหรับคนทั่วไปของเรื่องนี้?

เท่าที่ผมติดตาม คนทั่วไปหรือแม้แต่นักวิทยาศาสตร์คิดต่อเรื่องนี้ แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่คัดค้าน 2.กลุ่มที่เห็นเป็นกลางๆ มองว่าวิทยาศาสตร์ก็เดินหน้าไปเรื่อย ตราบใดที่ไม่ผิดกฎหมาย จริยธรรม ศาสนา ก็เป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ และ 3.กลุ่มที่เห็นด้วย ซึ่งก็มีเหตุผลของเขา

แต่กรณีนี้จะเชื่อมโยงกับอีกเรื่องซึ่งใหญ่มากๆ นั่นคือเรื่อง คนเปลี่ยนหัวคน

คนเปลี่ยนหัวคน?

นี่คือเรื่องที่กำลังเป็นข่าวดังในแวดวงวิทยาศาสตร์ คือมีนักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียนออกมาประกาศแล้วว่า ภายใน 2 ปี เขามั่นใจจะสามารถเปลี่ยนหัวคนได้โดยที่ยังทำให้คนคนนั้นยังมีชีวิตอยู่ เป็นแบบในหนังวิทยาศาสตร์เลย คือเปลี่ยนหัวคนที่ปกติ สมองดี แต่ร่างกายพิการ โอกาสฟื้นไม่มี ไปใส่ในร่างคนที่เพิ่งเสียชีวิต พูดง่ายๆ ก็คือ ตัดหัวของคนหนึ่งไปต่อร่างอีกคนหนึ่ง

ที่เป็นข่าวใหญ่เมื่อไม่กี่วันมานี้คือ นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียนคนนี้ เขาเตรียมการมาพักใหญ่แล้ว พัฒนาเทคนิคต่างๆ จนมั่นใจ และออกมาบอกว่าสามารถทำได้ ก็รออาสาสมัครมาเป็นผู้ทดลอง และไม่กี่วันมานี้ เขาได้อาสาสมัครแล้ว เป็นหนุ่มอายุประมาณ 30 ปี ที่เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์ หนุ่มคนนี้ตัวพิการ ต้องนั่งรถเข็น และรู้ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่อีกไม่นาน หนุ่มคนนี้เป็น 1 ในอาสาสมัครหลายพันคนที่สมัครเข้ามา แต่นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียนเลือกเขา และเพิ่งประกาศออกมาเมื่อไม่กี่วันนี่เอง



มีนักข่าวไปสัมภาษณ์หนุ่มคนนี้ว่ารู้สึกอย่างไร เขาก็บอกว่ากลัว และก็บอกว่าเป็นวิธีการที่ค่อนข้างสยองขวัญพอสมควร

การตัดหัวคนหนึ่งไปเชื่อมต่อร่างอีกคนหนึ่ง ปัญหาใหญ่คือบริเวณไขสันหลัง เพราะมันไม่ใช่เส้นเลือดที่จะไปเชื่อมต่อกันได้เลย ไขสันหลังมันเป็นไข เป็นเซลล์ซึ่งละเอียดมาก แต่นักวิทยาศาสตร์ชาวอิตาเลียนคนนี้เขามั่นใจว่าทำได้ เพราะเขาได้ค้นพบสารบางอย่าง ที่จะช่วยในการเชื่อมต่อแล้ว นี่จะเป็นอีกหนึ่งเรื่องใหญ่ที่ต้องจับตา

มีพล็อตอะไรจากนิยายวิทยาศาสตร์ที่ทุกวันนี้เกิดขึ้นแล้วหรืออนาคตอันใกล้อาจเกิดขึ้นจริง?

เรื่องโคลนนิ่ง แรกๆ ก็เป็นนิยาย แต่ตอนนี้ไม่มีปัญหา จะสร้างมนุษย์โคลนนั้นง่าย ไม่ต้องเข้ากระบวนการสืบพันธุ์ เอาไข่มาแต่ไม่เอาโครโมโซมไข่เลย เอามาเพื่อจะเป็นรังไข่ แล้วเอาเซลล์ของคุณมา 1 เซลล์ ใส่เข้าไปแทนนิวเคลียสของไข่ แล้วก็กระตุ้น รูปร่างทางพันธุกรรมก็จะเป็นแบบเรา นี่คือหลักการ

ปัญหาคือจะเป็นแบบไหน วิธีการนั้นง่าย ทำได้ โดยเชิงพันธุกรรมนั้นเหมือนคุณทุกประการ แต่อาจจะต้องมีคุณน้อยๆ อีกหลายร้อยคนที่ถูกฆ่าเพื่อเลือกคุณคนเดียวให้เติบโต คือไม่ใช่ทำครั้งเดียวแล้วได้เลย อาจต้องทำคุณสัก 400-500 เพื่อให้ได้ที่เพอร์เฟกต์จริงๆ แค่ตัวเดียว แต่อีกอย่างก็อย่าลืมว่า การโคลนนิ่งคนนั้น โคลนนิ่งได้แค่ลักษณะทางพันธุกรรม รูปร่างหน้าตา แต่นิสัยอาจจะคนละเรื่องเลยก็ได้

เรื่องมนุษย์หุ่นยนต์ เรื่องของการพันธุวิศวกรรม ตอนนี้ไปไกลมากทีเดียว

เรื่องการหายไปเลยของวัตถุอย่างในหนังเจมส์ บอนด์ ตอนหนึ่งที่รถยนต์หายได้ แต่จริงๆ ทำไม่ได้ขนาดนั้น ที่หายไปคือมองไม่เห็น นักวิทยาศาสตร์สามารถใช้วัสดุ เขาเรียกว่า "เมตาแมททีเรียล ( Metamaterial)" เป็นวัสดุพิเศษ พยายามออกแบบสร้างวัสดุมาให้มันมีโครงสร้างพิเศษแล้วเอาไปฉาบบนรถเจมส์ บอนด์ แสงเมื่อส่องมามันจะไม่สะท้อน แต่จะวิ่งไปตามผิววัสดุ คนจะมองไม่เห็นสิ่งของนั้น ตอนนี้ทำได้แล้วแบบเล็กๆ กรณีนี้วัตถุไม่ได้หายไปไหน ยังอยู่ที่เดิม แต่แสงไม่สะท้อนกลับ เราจึงมองไม่เห็น

แล้วนิยายไซ-ไฟที่เกี่ยวกับเรื่องมนุษย์ต่างดาว?

ถามว่าเชื่อมั้ย ผมเชื่อว่ามี แต่ต้องแยกระหว่าง ยูเอฟโอ กับ เอเลี่ยน

ยูเอฟโอ หลักฐานชัดเจน มีรายงานทั่วโลกเป็นแสนรายงานแล้วว่า คือสิ่งบินลึกลับที่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร แต่ทั้งหมด เกือบ 90 เปอร์เซ็นต์ ตรวจสอบแล้วว่ายังไม่ใช่ ที่เกี่ยวข้องกับเอเลี่ยนหรือมนุษย์ต่างดาว เป็น ยูเอฟโอ จริงๆ คือ Unidentified Flying Object (สิ่งบินลึกลับที่ไม่สามารถจำแนกได้) เพราะถ้าใช่เมื่อไหร่ก็จะเป็น ไอเอฟโอ หรือ Identified Flying Object ผมถึงแยก 2 ส่วนนี้

แต่ที่ผมเชื่อว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริง ผมว่า คงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีเฉพาะโลกเราเท่านั้นเองที่มีชีวิตเกิดขึ้น เพราะชีวิตบนโลกก็เกิดขึ้นโดยกระบวนการธรรมชาติ มนุษย์เราไม่ได้วิเศษอะไรเลย ก็เกิดจากกระบวนการธรรมชาติ ก็มีดาวอื่นเต็มไปหมด แต่ว่า การเดินทางจากดวงดาวสำหรับเรายากมาก แต่เขาอาจเดินทางมาถึงเราได้ เพราะดาวโลกเพิ่งเกิด 4,600 ล้านปี กาแล็กซีเราเกิดมาแล้ว 10,000 ล้านปี จักรวาลเกิดมาแล้ว 13,000 ล้านปี มีดวงดาวเยอะแยะไปหมดที่เกิดก่อนเรา ถ้ามีดาวดวงอื่น สมมุติคล้ายโลก แล้วมีมนุษย์ที่คล้ายๆ กับเราเกิดก่อนสัก 1 ล้านปี เขาจะก้าวหน้ามากกว่าเราแค่ไหน ลองคิดดูสิ

นี่เฉพาะที่คล้ายโลก แต่อาจมีสิ่งที่ทรงปัญญาที่ไม่จำเป็นต้องคล้ายมนุษย์ หรือดำรงชีวิตในสภาพแบบโลก?

จริงๆ แล้ว โอกาสที่จะมีมนุษย์หน้าตาคล้ายเราแทบไม่มีเลย พวกเรานี้เป็นมนุษย์ ที่เรียกว่า คาร์บอน บีอิ้ง (Carbon Being) ชีวิตบนโลกทั้งหมดประกอบจากธาตุพื้นฐาน 4 อย่าง มี คาร์บอน ไฮโดรเจน ไนโตรเจน และออกซิเจน นี่คือชีวิตแบบคาร์บอน เบส (Carbon Base) โลกอื่นอาจจะไม่ได้มีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบพื้นฐานก็ได้ อาจจะเป็นซิลิกอน เบส (Silicon Base) แล้วลองนึกสิ ถ้าเป็นซิลิกอนเบส รูปร่างหน้าตาจะเป็นแบบไหน ก็เป็นมนุษย์ผลึก วิธีการกินอาหาร พลังงานที่จะได้ ฯลฯ รูปร่างจะคนละเรื่องกับเราเลย เราคงเป็นสิ่งประหลาดสำหรับเขา (หัวเราะ)

สิ่งที่นักวิทยาศาสตร์อย่างอาจารย์อยากเห็นก่อนตาย?

เรื่องนี้มีคนอยากให้ผมเขียน ผมบอกว่ามี 3 สิ่งที่อยากเห็นก่อนตาย เมื่อก่อนยังไม่คิด แต่ตอนนี้คิดแล้ว และก็เขียนแล้ว อย่างที่ 1 มีที่ซึ่งผมอยากจะไปในโลกนี้คือ "แชงกรีล่า" ที่มาจากจินตนาการอย่างในหนังเรื่อง "ลอสต์ ฮอไรซัน"

เป็นดินแดนในจินตนาการเหมือนซัมบาลาในทิเบต อย่างที่ 2 คือ เรื่องของการเดินทางของมนุษย์ไปเหยียบดาวอังคาร และ อย่างที่ 3 คือ วันที่มนุษย์ต่างดาวมาเยือนโลกเรา

นี่คือ 3 สิ่งที่ผมอยากเห็นก่อนตาย


ไร่รักษ์ไม้,Eosgear,มูลไส้เดือน,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,victorinox,แปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,servival Kit,ราคา,อร่อย

Tags : กรณี แช่แข็งมนุษย์ ชัยวัฒน์ คุประตกุล ถึงจินตนาการเทคโนโลยีจาก นิยายไซ-ไฟ ที่ใกล้เป็นจริง

view