จากประชาชาติธุรกิจ
นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทยส่งสัญญาณเตือน รัฐบาล-เกษตรกร เตรียมรับมือสวนยางเกิดใหม่ทะลุ 1 ล้านไร่ ในประเทศพม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม หลังกลุ่มทุนจากจีน มาเลย์ สิงคโปร์แห่ยึดหัวหาด พร้อมเริ่มเปิดกรีดลอตแรก 2 แสนไร่ ปี"57 หวั่นราคายางตกต่ำอีกระลอก
นายบุญส่ง นับทอง นายกสมาคมสหพันธ์ชาวสวนยางแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) กล่าวว่า มีความเป็นห่วงชาวสวนยางพารามาก เนื่องจากขณะนี้ทั่วโลกสามารถปลูกยางได้แล้ว โดยเฉพาะประเทศจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อรายใหญ่ของไทยมีการลงทุนปลูกยางพาราเป็นจำนวนมาก รวมทั้งในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า สปป.ลาว และกัมพูชา ที่จะเริ่มเปิดกรีดได้ในปี 2559 เป็นต้นไป
"จีนในฐานะผู้ซื้อยางรายใหญ่ที่สุดของไทยเพื่อนำไปแปรรูป เมื่อจีนมียางเป็นของตนเองก็จะเกิดอำนาจต่อรองสูงขึ้น และจะเป็นผู้กำหนดราคาเอง ราคายางของไทยก็จะตกต่ำลง จะส่งผลกระทบต่อชาวสวนยางแน่นอน"
นายบุญส่งกล่าวอีกว่า รัฐบาลจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน โดยร่วมมือกับชาวสวนยาง มีการพัฒนาชัดเจนตั้งแต่ต้นน้ำ โดยจะต้องเพิ่มผลผลิตให้ได้ 1,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี ปัจจุบันผลผลิตอยู่ที่ 260 กก./ไร่/ปี เพราะในอนาคตหากราคายางพารามาอยู่ที่ 60 บาท/กก. เกษตรกรก็สามารถอยู่ได้
สำหรับอุตสาหกรรมกลางน้ำจะต้องมีการแปรรูปเพื่อเพิ่มมูลค่าอย่างจริงจัง เช่น ทำถนน สนามกีฬา แท็งก์น้ำ อ่างเก็บน้ำ ฯลฯ ส่วนปลายน้ำต้องวางโครงสร้างให้เอื้อประโยชน์แก่เกษตรกร และที่สำคัญจะต้องตั้งภาคียางโลกกลุ่มผู้ผลิตยางรายใหญ่ให้ได้ เช่น ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย อินเดีย เวียดนาม ศรีลังกา ลาว กัมพูชา พม่า เพื่อเป็นผู้กำหนดนโยบายยางพารา
แหล่งข่าวจากนักวิชาการยางพาราเปิดเผยว่า ขณะนี้สวนยางพาราที่ปลูกใหม่ในประเทศเพื่อนบ้านทั้งพม่า สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม มีพื้นที่มากกว่า 1 ล้านไร่ และในปี 2557 จะสามารถกรีดได้ประมาณ 200,000 ไร่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสวนยางของกลุ่มผู้ส่งออกยางจากไทยและกลุ่มทุนมาเลเซีย สิงคโปร์ และจีน ซึ่งเดิมเป็นผู้ซื้อยางรายใหญ่จากประเทศไทย นอกจากนี้ยังมีอีกปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชาวสวนยางคือการลงทุนปลูกยางในประเทศเพื่อนบ้านที่มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่าไทย ทั้งค่าแรงและที่ดินราคาถูก ซึ่งจะส่งผลต่อราคายางด้วย
สำหรับสวนยางที่อยู่ในระบบของไทยนั้น ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกยางประมาณ 19.2 ล้านไร่ และยังมีนอกระบบที่ปลูกตามพื้นที่หวงห้ามอีกจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อย มีพื้นที่ปลูกยางพาราเฉลี่ยรายละประมาณ 8.8 ไร่
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต
