สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

แนะสินค้าเกษตรเจาะอาเซียน-จีน-ญี่ปุ่น

จาก โพสต์ทูเดย์

สศก. แนะผู้ส่งออกสินค้าเกษตรมุ่งเจาะตลาดอาเซียน จีน ญี่ปุ่นที่บริโภคเพิ่มขึ้น ทดแทนตลาดยุโรปและสหรัฐที่หดตัว

นายอภิชาต  จงสกุล เลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.)  เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจของตลาดส่งออกสินค้าเกษตรของไทยทั้งตลาดสหภาพยุโรปและตลาด สหรัฐอเมริกาที่อยู่ในสภาวะหดตัว ส่งผลให้มูลค่าส่งออกสินค้าไทยไปกลุ่มประเทศดังกล่าวลดลงต่อเนื่อง ฉะนั้นไทยต้องหันไปส่งเสริมการส่งออกในตลาดที่มีกำลังบริโภคเพิ่มขึ้นเช่น  ตลาดอาเซียน จีนและญี่ปุ่น  และคู่พันธมิตรใหม่จากการจัดทำ FTA ร่วมกัน เช่น ชิลี ซึ่งแม้ว่าจะมีมูลค่าการค้าน้อยแต่ก็ถือเป็นช่องทางใหม่ๆในการทำตลาดของไทย อย่างไรก็ตามเพื่อโอกาสในการแข่งขันรัฐบาลจะต้องเร่งเจรจาเชิงรุก ระหว่างไทย-สหภาพยุโรป ในกลุ่มสินค้าเกษตรเพื่อชดเชยการถูกตัดสิทธิทางภาษี  (จีเอสพี)  ทุกรายการในปี 2558 ซึ่งจะทำให้ผู้ส่งออกไทยเสียเปรียบในการแข่งขัน

ทั้งนี้ สศก. พบว่าในปี   2555 ไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตร (ไม่รวมยางพารา) ไปสหรัฐอเมริกาเหลือเพียง 1.13 แสนล้านบาท ลดลงจาก 1.23 แสนล้านบาทในปี 2554 และมูลค่าการส่งออกไปสหภาพยุโรปเหลือเพียง 1.08 แสนล้านบาท  ลดลงจาก 1.15 แสนล้านบาทในปี 2554 ในขณะที่แนวทางการแก้ปัญหาของทั้งสองตลาดที่ผ่านมายังมุ่งเน้นเพียงการใช้ มาตรการทางการเงินเป็นหลักเท่านั้น และส่อเค้าว่าทั้งสองตลาดจะมีแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมของการส่งออกสินค้าเกษตรในช่วงปี 2553 - 2555 พบว่า ไทยยังสามารถรักษาระดับของมูลค่าการส่งออกได้พอสมควร คือ การส่งออกไปตลาดโลกมีอัตราขยายตัวเฉลี่ย 9.9% ต่อปี จาก 8.24 แสนล้านบาทในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 9.85 และ 9.94 แสนล้านบาทในปี 2554 และ 2555 ตามลำดับ

ทั้งนี้ หากจำแนกเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญ พบว่า ตลาดอาเซียน 9 ประเทศ ซึ่งเป็น ตลาดส่งออกสินค้าเกษตรหลักของไทย โดยมีอัตราขยายตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 16.4% ต่อปี จาก 1.68 แสนล้านบาทในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 2.10 และ 2.27 แสนล้านบาทในปี 2554 และ 2555 ตามลำดับ โดยยังมีสัดส่วนของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรเมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออก สินค้าเกษตรไปยังตลาดโลกเพิ่มขึ้นด้วย จากเพียง 20% ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 21% ในปี 2554 และ 23% ในปีล่าสุดตามลำดับ

ตลาดจีน มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้นมากที่สุด มีอัตราขยายตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 21.6% ต่อปี จาก 5.9 หมื่นล้านบาทในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 7.3  และ 8.7 หมื่นล้านบาทในปี 2554 และ 2555 ตามลำดับ โดยมีสัดส่วนของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นด้วย จากเพียง 7% ในปี 2553 และ 2554 เพิ่มขึ้นเป็น 9% ในปี 2555  สำหรับ ตลาดญี่ปุ่น เป็นตลาดส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญและมีเสถียรภาพมากที่สุดของไทย โดยมีอัตราขยายตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 13.1% ต่อปี จาก 1.18 แสนล้านบาทในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 1.43 และ 1.51 แสนล้านบาทในปี 2554 และ 2555 ตามลำดับ โดยมีสัดส่วนของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นด้วยจาก 14% ในปี 2553 เพิ่มขึ้นเป็น 15% ในปี 2555

ตลาดสหภาพยุโรป แม้ว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จะยังคงมีอัตราขยายตัวเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 2.9% ต่อปี แต่หากพิจารณาปีต่อปีกลับพบว่ามีการเปลี่ยนแปลงพอสมควร คือ จากที่เคยมีมูลค่าส่งออก 1.02 แสนล้านบาทในปี 2553 และเพิ่มขึ้นเป็น 1.15 แสนล้านบาทในปี 2554 แต่กลับลดลงเหลือ 1.08 แสนล้านบาทในปี 2555 และมีสัดส่วนของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรลดลงเล็กน้อย จาก 12% ในปี 2553 และ 2554 เป็น 11% ในปี 2555

ตลาดสหรัฐอเมริกา ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมากลับมีอัตราขยายตัวเฉลี่ยลดลง 2.2% ต่อปี และสถานการณ์ปีต่อปีมีการเปลี่ยนแปลงพอสมควรเช่นกัน คือ จากที่เคยมีมูลค่าส่งออก 1.18 แสนล้านบาทในปี 2553 และเพิ่มขึ้นเป็น 1.23 แสนล้านบาทในปี 2554 แต่กลับลดลงเหลือ 1.13 แสนล้านบาทในปี 2555 และมีสัดส่วนของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรลดลงพอสมควรจาก 14% ในปี 2553 เหลือ 12% และ 11% ในปี 2554 และ 2555 ตามลำดับ

ทั้งนี้ สำหรับสินค้ายางพาราเพื่อเป็นวัตถุดิบไม่รวมผลิตภัณฑ์จากยางพารา พบว่า มีลักษณะของความผันผวนทางด้านราคาเข้ามาเกี่ยวข้องมาก เนื่องจากหากพิจารณาในเชิงปริมาณส่งออกแล้ว ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ไทยยังคงรักษาระดับได้ดี คือ อยู่ระหว่าง 2.73-2.99 ล้านตันต่อปี แต่ในเชิงของมูลค่ากลับพบว่ามีความผันผวน โดยมีมูลค่า 2.49 แสนล้านบาทในปี 2553 และเพิ่มเป็น 3.83 แสนล้านบาทในปี 2554 ก่อนจะลดลงเหลือเพียง 2.70 แสนล้านบาทในปี 2555


ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต

Tags :

view