สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

วีรพงษ์ อัดรับจำนำข้าว บอกเสียดายภาษี

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

วีรพงษ์"อัดโครงการรับจำนำข้าว บอกเสียดายเงินภาษีอุดหนุนข้าวนาปรัง ชี้ต้องเปลี่ยนความคิดเลิกผลิตข้าวแข่ง"เมียนมาร์-เวียดนาม"

นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยและประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "เปิดแนวรุกบุกเออีซี" ในงานเปิดตัวโครงการ SMEs & OTOP สู่เวทีโลก จัดโดยกระทรวงการคลัง การะทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง และสถาบันการเงินในกำกับของรัฐ ณ โรงแรมโฟร์ซีซันส์ กรุงเทพฯ ในวันนี้ (18 มี.ค.) ว่า ตามมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำของโลกยังมีความเห็นที่ตรงกันว่าเศรษฐกิจของโลกในระยะเวลาอีก 10 ปีข้างหน้ายังไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ เนื่องจากเศรษฐกิจทั้งสหรัฐฯและยุโรปยังคงมีปัญหา ดังนั้นความหวังของโลกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจึงตกอยู่ในภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะประเทศจีนที่ยังมีการเติบโตเศรษฐกิจในอัตราที่น่าพอใจ แต่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจจีนก็คือจะไม่สามารถพึ่งพาการส่งออกเพื่อการเติบโตได้ แต่จีนจะต้องใช้การขยายการลงทุนและการบริโภคภายในประเทศมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การขยายการลงทุนของจีนและญี่ปุ่นยังคงลงมาสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และไทยอยู่ในจุดที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคดังนั้นจึงต้องขานรับทิศทางการลงทุนดังกล่าว ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็กำลังเตรียมความพร้อมในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานครั้งใหญ่ ซึ่งทำให้บทบาทของภาคส่วนต่างๆต้องเปลี่ยนแปลงรวมทั้งสถาบันการเงินทั้งของภาครัฐ และเอกชนต้องพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นด้วย

"จีนมีเม็ดเงินที่จะใช้ในการลงทุนอีกมาก นอกจากนั้นญี่ปุ่นก็ที่ค่าเงินอ่อนค่าลงก็จะเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น รวมทั้งประเทศอื่นๆที่มีความพร้อมในเรื่องลงทุนในไทยซึ่งก็ต้องมีการเตรียมความพร้อม มีการเปลี่ยนแปลงในส่วนที่สำคัญเพื่อการเติบโตของเศรษฐกิจ"

ทั้งนี้ การปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อขับเคลื่อน รัฐบาลจะต้องให้ความสำคัญกับการพัฒนาและเปลี่ยนแปลง ใน 3 ส่วนที่สำคัญ คือ 1.การปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการผลิตในภาคเกษตร โดยตนไม่เห็นด้วยกับการอุดหนุนสินค้าเกษตรที่ในความเป็นจริงจะต้องลดการผลิต เช่น ข้าวนาปรัง ทั้งนี้ ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ซึ่งเป็นบริเวณที่มีระบบชลประทานดีที่สุดของประเทศได้ถูกใช้ประโยชน์ในการปลูกข้าวแล้วอย่างยาวนาน ซึ่งในขณะนี้โลกเปลี่ยนแปลงไปมาก สภาพเศรษฐกิจในเอเชียก็เปลี่ยนไป ไทยจึงไม่มีทางที่จะผลิตข้าวแข่งกับประเทศเวียดนาม เมียนมาร์ หรือประเทศอื่นๆ และเราเองก็ไม่ควรจะไปแข่งขันกับประเทศอื่นๆในเรื่องของการผลิตข้าวเพราะการปลูกข้าวของไทยมีต้นทุนสูงกว่าเพื่อนบ้าน แต่ไทยควรจะผลิตสินค้าอย่างอื่นๆที่มีมูลค่ามากกว่า

"ปัจจุบันการทำนาของเราไม่ใช่เป็นเกษตรที่ใช้แรงงานอีกต่อไป แต่มีการใช้เครื่องจักรและแรงงานต่างด้าวในการผลิตทำให้ต้นทุนสูงกว่าเพื่อนบ้าน ที่มีค่าจ้างแรงงานถูกกว่าเราและยังใช้แรงงานในการผลิตข้าวมากกว่าใช้เครื่องจักร ที่สำคัญเราต้องเปลี่ยน Mindset เลิกตั้งเป้าที่จะแข่งกับเวียดนาม เมียนมาร์ แต่ต้องมองจีน เกาหลีใต้ว่าเราจะแข่งกับเขาได้อย่างไร"

เขากล่าวด้วยว่าการอุดหนุนสินค้าเกษตรที่ควรลดจำนวนการผลิตอย่างการอุดหนุนข้าวนาปรัง ตนคิดว่าน่าเสียดายเงินภาษี เพราะการทำแบบนี้เหมือนว่ากำลังไปอุดหนุนข้าวราคาถูกแทนที่จะนำเม็ดเงินไปอุดหนุนหรือส่งเสริมการปลูกข้าวราคาแพง เช่น ข้าวหอมมะลิ หรือข้าวไร้สารพิษ ที่สามารถจำหน่ายในราคาสูงได้รวมทั้งจะมีความต้องการบริโภคมากขึ้นในอนาคตเนื่องจากคนมีรายได้ดีมากขึ้น

"เสียดายภาษีอากรที่อุดหนุน แทนที่จะเอาเงินไปส่งเสริมในทางที่ถูกต้อง ส่งเสริมระบบชลประทานให้สามารถปลูกพืชชนิดอื่นๆได้ เช่นไม้โตเร็ว หรือพืชพลังงาน รวมทั้งต้องปฏิรูปโครงสร้างเกษตร ลดการปลูกพืชหลัก 6 ชนิดที่กำหนดโดยสภาพัฒน์ โดยเฉพาะในพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่างก็ต้องเปลี่ยนจากปลูกเป็นเลี้ยงบ้าง เช่น ทำประมงน้ำจืด ก็จะทะลุความคิดเดิมๆได้"นายวีรพงษ์กล่าว


ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต

Tags :

view