จากประชาชาติธุรกิจ
เหตุฆ่าช้างป่าแม่ลูกอ่อนเพื่อเอาลูกช้างกลางอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ในห้วงการประชุมภาคีอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพันธุ์พืชที่ใกล้สูญพันธุ์ (ไซเตส) ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ และเป็นห้วงวันช้างไทย
วันที่ 13 มีนาคม ถูกหยิบยกเป็นประเด็นอีกครั้ง
หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยที่เกี่ยว ข้องต่างตื่นตัวเร่งติดตามจับกุมขบวนการฆ่าช้างเอาลูกทั้งผู้รับจ้างและนายทุน ซึ่งมีการควบคุมตัวชาวกะหร่างต้องสงสัยว่าเป็นนายพรานได้ 2 คน ตลอดจนการตามหาลูกช้าง
จากข้อมูลของกองบังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 (บก.สส.ภ.7) พบว่ามีกลุ่มล่าช้างเอางาและเอาลูกช้างจำแนกเป็น 3 กลุ่ม
กลุ่มแรก กลุ่ม นายสมพร จอกาย ชาว จ.ราชบุรี ที่หลบหนีคดีฆ่าช้างเอางาและอวัยวะช้างไปขาย ในเขตป่าแก่งกระจาน ซึ่งก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2555 เจ้าหน้าที่ บก.ภ.จว.เพชรบุรี จับกุมนายลูกแก้ว อุปถัมป์ อายุ 28 ปี และ นายจันทร์ กัวพู้ อายุ 28 ปี ผู้ร่วมขบวนการไปแล้ว
กลุ่มที่ 2 กลุ่ม ชาวกะหร่าง และ กลุ่มที่ 3 กลุ่ม นายสมบูรณ์ เป็นชาวไทย โดยทั้ง 2 กลุ่มนี้ยังไม่มีประวัติออกหมายจับดำเนินคดี มีเพียงข้อมูลการสืบสวนเท่านั้น
ขณะที่การติดตามตัวลูกช้าง นายประทีป เหิมพยัคฆ์ หัวหน้าเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าแม่น้ำภาชี จ.ราชบุรี สนธิกำลังร่วมกับทหารหน่วยเฉพาะกิจทัพพระยาเสือ กองกำลังสุรสีห์ โดย พ.อ.ฐกัด หลอดศิริ รอง ผบ.ฉก.ทัพพระยาเสือ ตำรวจ สภ.สวนผึ้ง และ พ.อ.เอกธนา เสนนานนท์ รอง ผอ.กอ.รมน.จังหวัดราชบุรี ตั้งชุดปฏิบัติการร่วมตรวจค้น 3 จุด เพื่อสกัดเส้นทางการนําลูกช้างออกนอกพื้นที่
จุดที่ 1 เส้นทางบ้านหนองตาดั้ง บ้านพุระกำ หมู่ 6 ต.ตะนาวศรี จุดที่ 2 บ้านห้วยน้ำหนัก บ้านวังโค และจุดที่ 3 บ้านห้วยน้ำหนักและเส้นทางห้วยอะนะ รวมทั้งประสานกับทหารพรานกองร้อยที่ 1405 และ ตชด. ขอปิดกั้นจุดผ่านแดนชั่วคราวบ้านโป่งแห้ง ด้านจุดผ่านแดนห้วยคอกหมู ที่คิดว่าอาจจะมีการนำลูกช้างออกนอกพื้นที่ โดยการเดินเท้าฝั่งไทยเลาะตะเข็บชายแดนไปที่ห้วยจะเอว ห้วยภาชี ขึ้นที่เนิน 700 ออกไปยังบ้านวังโค บ้านห้วยน้ำหนัก
แต่ยังไร้วี่แววลูกช้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่เป็นห่วงว่าลูกช้างจะถูกฆ่าทิ้งเพื่อปิดบังความผิด!!
อย่างไรก็ตาม จากการสอบถาม นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ซึ่งมีความพยายามแก้ไขปัญหาการล่าช้างป่ามาตลอด เผยว่าปัจจุบันช้างป่าลดน้อยลงทุกที และที่น่าประหลาดใจคือจากเดิมช้างป่ามีจำนวนมากกว่าช้างบ้าน เพราะช้างป่าผสมพันธุ์กันง่ายกว่าช้างบ้าน เหตุที่ช้างบ้านมีอัตราการผสมพันธุ์น้อยกว่าช้างป่าเนื่องจากความเครียด แต่ปัจจุบันกลับพบว่ามีจำนวนช้างบ้านมากกว่าช้างป่า
"ตอนนี้ช้างป่ามีประมาณ 3,000 ตัว แต่ช้างบ้านมีเกือบ 4,000 เชือก ตามจำนวนตั๋วรูปพรรณที่มีทั้งตั๋วจริงและการสวมตั๋วรูปพรรณ ซึ่งไม่ค่อยมีการตรวจสอบ" นายชัยวัฒน์เผย
สาเหตุที่ทำให้ช้างป่าเหลือน้อย หัวหน้าอุทยานฯแก่งกระจานระบุว่า เพราะถูกพรานล่าฆ่าช้างเพศเมียเพื่อนำลูกช้างออกมาขายปางช้าง ดังเช่นกรณีที่ปรากฏ และฆ่าช้างเอางา
"การขายลูกช้างตรวจสอบได้ยาก และขายได้ง่ายกว่างาช้าง เพราะงาช้างต้องแปรรูป บางครั้งขายในตลาดเถื่อน แต่การขายลูกช้างเกิดใหม่จะไม่มีตั๋วรูปพรรณ เนื่องจากการขอตั๋วรูปพรรณมีอายุกำหนดอยู่ รวมทั้งการขายลูกช้างจะได้ราคาดี เมื่อพรานได้ลูกช้างมา ระหว่างเดินในป่าก็ทำการฝึกไปด้วย จะสามารถเพิ่มมูลค่าได้ บางตัวจากราคา 100,000 บาท ไปขายตามปางช้างได้หลักล้าน" นายชัยวัฒน์เผย
ทั้งนี้ หัวหน้าอุทยานฯแก่งกระจานเผยด้วยว่า การล่าลูกช้างจะทำตามออเดอร์ อาทิ มีตั๋วรูปพรรณเพื่อรอช้างเพศเมียอายุ 6 เดือนอยู่ ก่อนส่งไปขายปางช้าง บ้างก็ส่งขายต่างประเทศ
"ส่วนนายพรานล่าสัตว์ที่พบเป็นชาวกะหร่างนั้น ไม่ใช่ตัวการใหญ่ เป็นเพียงผู้รับจ้างมาอีกทอดหนึ่ง ปกตินายพรานจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านกลางป่าอยู่แล้ว จึงมีความชำนาญเรื่องการล่าสัตว์และมีการปลูกพืชหวงห้ามรวมด้วย ที่ผ่านมาจึงมีความพยายามจัดระเบียบ แต่เหตุที่ชาวกะหร่างมารับจ้างล่าช้างเพราะมีความจำเป็นต้องใช้เงิน อาทิ ในการขอใบเบิกทาง
"ส่วนตัวการใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลตามแนวชายแดน อาทิ ชายแดนสวนผึ้ง จ.ราชบุรี ซึ่งรับงานมาจากคนนอกพื้นที่ โดยกลุ่มอิทธิพลจะจัดหา
ออเดอร์ จัดส่งอาวุธและติดต่อประสานงาน ซึ่งมีคนมีสีรวมอยู่ด้วย ที่ผ่านมาการขยายผลจับกุมถูกตัดตอนตลอด ทั้งนี้ กลุ่มอิทธิพลเหล่านี้ไม่ว่าชาวบ้านมาจากไหนเมื่อเข้าพื้นที่ต้องมาอยู่ในอาณัติ มีทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐ และมีมานานแล้ว
"ผมพูดเสมอว่าต้องปราบขบวนการล่าช้าง เพราะเป็นภัยคุกคามอย่างต่อเนื่อง และไม่อยากให้ดราม่าตื่นตัวปราบปรามกันแค่ช่วงที่มีข่าว เป็นแค่ช่วงหนึ่งแล้วก็หยุดไป" หัวหน้าอุทยานฯแก่งกระจานระบุ
ที่มา : นสพ.มติชน
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต
