จาก โพสต์ทูเดย์
ผู้ประกอบการปากพนังโอดกิจการรังนกราคาวูบเหลือกิโลกรัมละ1หมื่นบาทจากแสนบาทหลังจีนไม่รับซื้อ
นายชลอ ศรีคณา ผู้ประกอบการเจ้าของร้าน “รังนกปากพนัง” อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่า ขณะผู้ประกอบกิจการรังนกแอ่นเดือดร้อนอย่างหนัก หลังจากรัฐบาลจีน ได้ออกประกาศห้ามนำเข้ารังนกจากทุกประเทศ ซึ่งมีผู้ผลิตรายใหญ่คือ ประเทศอินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และไทย โดยระบุว่าตรวจพบสารไนเตรท ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งปนเปื้อนอยู่ในรังนกแอ่นนานเกือบ 2 ปี ทำให้ผู้ประกอบการคอนโดฯ นกในพื้นที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งมีคอนโดฯ นกประมาณ 200 แห่งต้องปิดประกาศขายกิจการเพราะไม่สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ ก่อนหน้านั้นเคยขายรังนกแอ่นได้ราคา กก.ละ 95,000 บาท พอเงินไทยแข็งค่าขึ้นลดเหลือ 40,000 กว่าบาท แต่ในขณะนี้รังนกดิบขายได้ในราคา กก.ละ 10,000 กว่าบาท ซึ่งถ้าแปรรูปแล้วจะได้ราคา กก.ละ 30,000 กว่าบาท ซึ่งต้องจ้างเขาทำในราคา กก.ละ 6,000 กว่าบาท
สำหรับการสร้างบ้านรังนก หรือคอนโดนกฯ ที่รับผลกระทบและขายกิจการออกไปนั้นก็มีบ้าง เนื่องบางรายนั้นนกเข้ามาอยู่น้อยเนื่องจากมีคอนโดนกฯ เยอะ ทำให้นกมีตัวเลือกที่จะเข้าไปทำรัง อีกอย่างนกอาจจะไปหากินที่อื่นแล้วไม่กลับมาที่เดิมอีกทำให้นกลดลง ทำให้บางรายประกาศขายกิจการไปเพราะไม่คุ้ม ซึ่งในพื้นที่ อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช นั้นคิดว่าน่าจะมีคอนโดนกฯ ประมาณ 200 หลัง ที่มีนกอยู่จริงๆ ประมาณ 30 % ส่วนที่เหลืออยู่บ้างไม่อยู่บ้าง ซึ่งมีปริมาณน้อยไม่หนาแน่น บางรายได้สัก 20-25 % ก็ถือว่าคุ้ม จึงเรียกร้องให้ทางรัฐบาลออกมาช่วยเหลือเจรจาจีนซื้อเช่นเดิม ทั้งนี้ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย เอารังนกสีขาวไปย้อมเป็นสีแดง ขายในราคารังนกเกาะ รังนกถ้ำ ซึ่งทำให้ได้ราคาสูงขึ้นหลายเท่าตัว เมื่อจีนเอาไปบริโภคก็เกิดท้องเสียบ้าง ป่วยบ้าง จึงมีการร้องเรียนไปยังรัฐบาลจีนจึงได้สั่งห้ามรับซื้อ ซึ่งต้นตอปัญหาไม่ได้เกิดจากเมืองไทย
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต
