จากประชาชาติธุรกิจ
นพ.บุญมี โพธิ์สนาม นายแพทย์เชี่ยวชาญ (ด้านเวชกรรมป้องกัน) รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ร้อยเอ็ด เปิดเผยว่า ประเทศไทยได้ส่งเสริมการปลูกสบู่ดำเพื่อเป็นพลังงานเชื้อเพลิงทดแทนใน 17 จังหวัด โดยร้อยเอ็ดเป็น 1 ใน 17 จังหวัด ที่มีการปลูกสบู่ดำกันอย่างแพร่หลาย ทั้งในบ้าน โรงเรียนและพื้นที่แปลงเกษตร แต่ไม่เคยมีการเตือนประชาชนถึงอันตรายของสบู่ดำว่ารับประทานไม่ได้ ทำให้มีรายงานผู้ที่ได้รับพิษจากการกินเมล็ดสบู่ดำจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
นพ.บุญมีกล่าวว่า โดยเฉพาะเด็กๆ เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เนื่องจากเมล็ดสบู่ดำมีรสมันคล้ายเมล็ดบัวหรือถั่วลิสง พิษเฉียบพลันเมื่อรับประทานเมล็ดสบู่ดำในเด็กจะพบว่า มีอาการกระสับกระส่าย คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดินและขาดน้ำ ส่วนในผู้ใหญ่ กรณีที่เป็นสายพันธุ์ที่มีสารเป็นพิษสูง หากรับประทานเพียง 3 เม็ด จะเป็นอันตรายแก่ระบบทางเดินอาหารได้ หากยางสบู่ดำถูกผิวหนัง ขอให้รีบล้างน้ำและฟอกสบู่ทันที ส่วนผู้ที่ได้รับพิษจากการกินเมล็ดสบู่ดำเข้าไป การช่วยเหลือเบื้องต้น ให้ดื่มนมจำนวนมาก หรือทำให้อาเจียน เพื่อเอาพิษออกจากกระเพาะอาหารและรีบนำส่งโรงพยาบาลเพื่อรักษาทันที
นพ.บุญมีกล่าวอีกว่า ทางด้านกรมควบคุมโรคได้ให้คำแนะนำสำหรับประชาชน ดังนี้ 1.หากชุมชนหรือโรงเรียนที่ปลูกต้นสบู่ดำไว้ใช้ประโยชน์หรือปลูกไว้สาธิตหรือ ประกอบการเรียนการสอน ต้องติดป้ายชื่อต้นไม้ไว้ พร้อมคำแนะนำว่าเป็นพืชมีพิษห้ามรับประทานเมล็ด เพราะจะทำให้เกิดอาการกระสับกระส่ายคลื่นไส้อาเจียนท้องเดินและขาดน้ำ ระวังน้ำยางสบู่ดำถูกผิวหนัง เพราะจะทำให้เกิดอาการระคายเคือง บวมแดง ปวดแสบปวดร้อนอย่างรุนแรง หากเข้าตาจะทำให้ตาอักเสบ อาจตาบอดชั่วคราวได้ 2.โรงเรียนควรล้อมรั้วไว้ให้มิดชิด เพื่อความปลอดภัยของเด็กนักเรียน เพราะเด็กเล็กอาจลองชิมเมล็ดสบู่ดำโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ 3.คุณครูและผู้ปกครองควรระมัดระวังและแนะนำเด็ก ห้ามนำเมล็ดสบู่ดำมารับประทานอย่างเด็ดขาด
ที่มา : นสพ.ข่าวสด
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต
