จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
นครหลวงค้าข้าว รับนโยบายจำนำข้าวพ่นพิษ ทำยอดส่งออกในปีที่ผ่านมาหดตัวมากถึง 40% พร้อมประกาศรุกตลาดข้าวถุงเต็มตัว ผ่านแบรนด์ไทไท
นายวัลลภ พิชญ์พงศา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทนครหลวงค้าข้าว จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ส่งออกข้าวไทยที่หดตัวลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากนโยบายจำนำข้าว 15,000 บาทต่อตัน ส่งผลให้ต้นทุนข้าวไทยสูงขึ้น แข่งขันในตลาดโลกยากขึ้น โดยปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดส่งออกข้าวลดลงถึง 40% ไม่ต่างจากผู้ส่งออกข้าวรายอื่น จากภาวะดังกล่าวทำให้บริษัทต้องปรับตัวโดยการหันมารุกตลาดข้าวถุงเพื่อเน้นทำตลาดในประเทศอย่างจริงจัง มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบริษัททำตลาดข้าวถึงมาแล้วระยะหนึ่งแล้ว ภายใต้แบรนด์ “ไทไท” แต่ไม่ได้รุกตลาดอย่างจริงจัง โดยตลาดหลักจะอยู่ในต่างจังหวัด แถบภาคใต้และภาคตะวันออก เป็นการจำหน่ายสินค้าผ่านยี่ปั๊วซาปั๊ว ขณะที่แบรนด์ข้าวหอมมะลิออแกนิก “ไทไท กรีน” จะมุ่งเจาะลูกค้าระดับบนหรือพรีเมียม และจำหน่ายผ่านช่องทางห้างโมเดิร์นเทรด เป็นหลัก
แม้จะยอมรับว่า ภาพรวมตลาดข้าวถุงเป็นตลาดที่มีผู้ประกอบการอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้ส่งออกหลายรายหันมาทำตลาดข้าวถุงเพื่อหลีกหนีสถานการณ์ยอดส่งออกหดตัว ทำให้การแข่งขันค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ด้านราคา ซึ่งถือเป็นเรดโอเชียน อย่างไรก็ตาม การทำตลาดข้าวถุงของบรษัทจะให้ความสำคัญกับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ให้แข่งแกร่งเป็นที่จดจำของผู้บริโภค เป็นหลัก
“ช่วงนี้เป็นช่วงของการปรับตัวจากธุรกิจใหญ่มาเล่นในธุรกิจเล็กๆ โดยการทำตลาดข้าวถุง ซึ่งเป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นมีหลายแบรนด์ที่อยู่ในตลาด ทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกมากขึ้น แม้จะมีแบรนด์ที่ครองตลาดที่ชัดเจนอยู่แล้ว แต่เชื่อว่ายังมีช่องทางขยายตัวอีกมาก จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายสำหรับแบรนด์ไทไท โดยเป้าหมายของบริษัทต้องการมียอดขายเพิ่มขึ้น แต่ไม่ได้หวังจะเป็นเบอร์1 หรือเบอร์2 ” นายวัลลภ กล่าว
นอกจากนี้ แผนการทำตลาดข้าวถุงยังถือว่ามีส่วนช่วยขยายตลาด ควบคู่กับรักษาฐานธุรกิจหลัก (Core Business) คือการส่งออกข้าวให้อยู่ในระดับทรงตัวไม่ตกลงไปมากตามสภาพตลาดข้าวไทย ที่ผ่านมาบริษัทยังได้เข้าลงทุนเปิดโรงสีในท้องถิ่นและต่างประเทศเพิ่ม ควบคู่กับการผลิตภัณฑ์สินค้าออแกนิกอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปี 2556 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายข้าวถุงแบรนด์ไทไทไว้ที่ 55,000 ตัน เติบโต 50% จากปีก่อนที่มียอดขาย 33,000 ตัน และภาพรวมทั้งเครือในปี 2554 มีรายได้ประมาณ 24,000 ล้านบาท โดยรายได้หลักยังคงมาการส่งออกข้าวประมาณ 19,000 ล้านบาท
ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต
