สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

มาร์คอภิปรายนายกฯรับจำนำข้าว

มาร์คอภิปรายนายกฯรับจำนำข้าว

จาก โพสต์ทูเดย์

เปิดรัฐสภาซักฟอกรัฐบาลวันที่2 อภิสิทธิ์อภิปรายนายกฯยิ่งลักษณ์ ประเด็นโครงการรับจำนำข้าว

ที่ รัฐสภา การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลของฝ่ายค้าน วันที่ 2 ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อเวลา 09.30น. ฝ่ายค้านโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎรนำอภิปราย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในประเด็นโครงการรับจำนำข้าว คือที่มาของปัญหา เพราะมีจุดอ่อนหลายด้าน เป็นการทำลายกลไกซื้อขายตามปกติโดยสิ้นเชิง ก่อให้เกิดการทุจริตอย่างกว้างขวาง 
การ บริหารราชการแผ่นดินขณะนี้ได้ สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงกับประเทศ ถือว่าเป็นความรับผิดชอบของนายกรัฐมนตรี ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้ โดย 1 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลได้สร้างปัญหาหลายด้าน จนบ้านเมืองเสียหายจากการทำงานของรัฐบาล

การ ทำหน้าที่ของรัฐมนตรีว่า การกระทรวงกลาโหม ว่า ด้วยการแต่งตั้งโยกย้ายที่ทำให้ระบบทหาร และขั้นตอนได้รับผลกระทบ รวมถึงปัญหาความไม่สงบชายแดนใต้ ที่นายกรัฐมนตรี ยังไม่มีความชัดเจน หลังมีการปรับรองนายกรัฐมนตรีที่ดูแลเรื่องนี้ออกไป และนายกรัฐมนตรี มาดูแลเอง แต่ปัญหายังคงอยู่ กล่าวคือนโยบายของรัฐบาล คือมีปัญหาเพราะผู้นำมีปัญหา

ขณะ ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมยืนยันถึงความพร้อมในการชี้แจงข้อมูล และย้ำว่าการอภิปรายฯ จะไม่ส่งผลให้รัฐบาลต้องปรับเปลี่ยนการทำงานแต่อย่างใด

ที่ รัฐสภา นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ให้สัมภาษณ์ว่า นายกรัฐมนตรีจะชี้แจงการอภิปรายของฝ่ายค้านในภาพรวมของนโยบายต่างๆ แต่หากถูกพาดพิงก็จะใช้สิทธิชี้แจง โดยเฉพาะเรื่องโครงการรับจำนำข้าว ขอยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องทบทวนการดำเนินโครงการรับจำนำข้าว เพราะไม่มีสิ่งใดผิดพลาด

ที่ ผ่านมาก็เปิดเผยการดำเนินการทุกขั้นตอน แต่ยอมรับรายละเอียดตัวเลขการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ที่จำเป็นต้องปิดเป็นความลับ เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องคำนึงถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มากกว่าประเด็นการเมือง ส่วนการอภิปรายฯรัฐมนตรีทั้ง 3 คน เมื่อวันที่ 25 พ.ย.ที่ผ่านมานั้น ถือว่ารัฐมนตรีชี้แจงกับฝ่ายค้านได้ แต่เห็นว่าข้อมูลที่ฝ่ายค้านเตรียมมานั้นยังไม่ละเอียดพอ


"หมอวรงค์" แฉยิบกลโกงจีทูจี - "บุญทรง"แย้มขาดทุนแค่ 6 หมื่นล้าน

จาก โพสต์ทูเดย์

ปชป. แฉ “ปู” แหกตาปชช. อ้างจีทูจี ขายข้าวถูกให้บ.ผี โกยเงินตกกว่า 2 หมื่นล้าน ปล่อยแก๊งค์ทุจริตยุคพี่ชายคืนชีพ ระบุ “ไอ้ปาล์ม” ผู้ช่วยส.ส. “เมียกีร์” กุมบังเหียนบริษัท มีเงินในแบงค์แค่ 64บาท โยง “ไอ้โจ”มือขวาเสียเปี๋ยง คนใกล้ชิด “นช.แม้ว” ผูกขาดโครงการจำนำข้าว ด้าน “บุญทรง” ยันโปร่งใสชาวนาได้ประโยชน์ การันตี “ปู” พูดจริงทุกเรื่อง

             บรรยากาศการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในช่วงค่ำวันที่ 26พ.ย. นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า นายกฯมีพฤติกรรมปล่อยปะละเลย ให้มีพฤติกรรมทุจริต โกงทั้งแผ่นดิน เอื้อพวกและญาติ ปล่อยให้คนอื่นมีอำนาจเหนือตนเอง ซึ่งโครงการจำนำข้าวไม่ใช่อำมาตย์เอาเปรียบไพร่ แต่เป็นการที่ทุนสามานย์เอาเปรียบไพร่ เพราะโรงสีเป็นเหมือนโรงรับจำนำของรัฐบาล
       
       นพ.วรงค์ กล่าวว่า กรณีที่รัฐบาลขายข้าวแบบจีทูจีนั้นจะมีการขายราคาเท่าไหร่ตนไม่ว่า เพราะเป็นการร่วมมือแบบรัฐต่อรัฐ แต่ต้องเป็นเงินจากรัฐบาลผู้ซื้อส่งให้รัฐบาลผู้ขายตามหลักการทั่วไป โดยมีวิธีขาย 2แบบ คือราคาขายท่าเรือไทย และราคาขายที่ท่าเรือต่างประเทศ และไม่มีการประมูลเหมือนการขายข้าวให้ผู้ค้าข้าว ซึ่งอยู่ดีๆรัฐมนตรีในรัฐบาลนี้กลับออกมาบอกว่าขายข้าวแบบจีทูจี7.32 ล้านตัน ส่งออกไปแล้ว 1.4 ล้านตัน แถมคุยว่าเอาเงิน 4.3 หมื่นล้านไปชำระค่าข้าวให้กับ ธกส.แล้ว โดยเป็นการขายข้าวจีทูจีในราคา ณ หน้าคลัง ซึ่งในวงการค้าข้าวไม่ว่ายุคไหนไม่เคยมีการซื้อขายข้าว จีทูจีราคา ณ หน้าคลังมาก่อน เพราะไม่มีรัฐบาลไหนอยากมาขนข้าว และดำเนินการเอง ยิ่งมาเจอข้าวไม่มีมาตรฐานในโกดังมากมายขนาดนี้ไม่มีรัฐบาลไหนทำแน่ แต่รัฐบาลนี้ทำ แต่หากมีการขายจีทูจีตามรัฐบาลพูดจริงจะต้องมีการทำสัญญาซื้อขาย ซึ่งกรมการค้าระหว่างประเทศจะทำการเบิกข้าวให้กับบริษัทเอกชนที่รัฐบาลต่าง ประเทศแต่งตั้ง แต่ที่สำคัญเงินค่าชำระสินค้าต้องเป็นเงินจากรัฐบาลต่างประเทศโอนผ่านแอลซี มายังรัฐบาลไทย
       
       นพ.วรงค์กล่าวว่า ตนจำต้องตรวจสอบและเอาความจริงมาแฉ เพื่อฉีกหน้ากากรัฐบาล หาข้อมูลมาบอกว่ารัฐบาลนี้โกหกประชาชน ให้ประโยชน์กับคนใกล้ชิด เพราะจีทูจีที่รัฐบาลพูด 7.32 ล้านตันนั้นเป็นเรื่องโกหก เพราะตนพบว่ามี 2 บริษัทซึ่งเป็นบริษัทจีนหนึ่งบริษัทและบริษัทไทยอีกบริษัท ในการรับข้าวจากรัฐบาลไทยโดยบริษัทที่มาจากประเทศจีนมีชื่อ ว่าGSSG,IMP,ANDEXP.CORP ซึ่งในขั้นตอนการขายข้าวกรมการค้าต่างประเทศ จะเป็นเจ้าภาพในการเบิกข้าวจากโกดัง โดยตามเอกสารลงวันที่ 15 พ.ค. เป็นการขายปลายข้าว ปริมาณ 5 ล้านกิโลกรัม ซึ่งบริษัทจากจีนก็มารับข้าว ซึ่งจะเห็นวิธีการทำงานที่ซับซ้อนของคนปล้นชาติปล้นแผ่นดิน โดยมีเอกสารการมอบอำนาจของนายรัฐนิธ โสถิรกุล ให้นายนิมล รักดี เป็นผู้รับมอบอำนาจ ในการไปรับข้าวจากโกดังรัฐบาล ซึ่งตนได้ติดตามตรวจสอบพบว่านายรัฐนิธนั้น มีอายุประมาณ 32 ปี และเป็นผู้เข้าเรียนหลักสูตรวุฒิบัตรผู้ช่วยผู้ปฏิบัติงานของรัฐสภา รุ่นที่ 6 ซึ่งสถาบันพระปกเกล้าก็รับรู้ว่าเป็นนักศึกษาลำดับที่36 โดยมีชื่อเล่นว่า “ไอ้ปาล์ม” ซึ่งเป็นผู้ช่วยส.ส.ลำดับที่ 3 ของนางรพิพรรณ พงศ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นภรรยานายอริสมันต์ แกนนำคนเสื้อแดง
       
       “ถ้าคิดด้วยสามัญสำนึก รัฐบาลจะตรวจสอบที่มาที่ไปของคนนี้หรือไม่ หรือควรจะขายข้าวให้หรือไม่ ซึ่งก็มีคนเอาข้อมูลบัญชีนายนัฐริธมาให้ผมดู พบว่ามีเงินในบัญชีเพียง 64บาท63 สตางค์ แต่กลับเป็นผู้มีอำนาจจากบริษัทในประเทศจีน ติดต่อกับรัฐบาลซึ่งถือว่ายิ่งใหญ่มาก ส่วนนายนิมลก็พบว่าเป็นคนจังหวัดพิจิตร ซึ่งจากการถามเถ้าแก่โรงสีได้ข้อมูลว่า ในวงการโกดังข้าวภาคกลางเรียกว่าเสี่ยโจ เป็นคนใกล้ชิดเสี่ยเปี๋ยง เจ้าของบริษัทเพสซิเด้นอะกรีเทรดดิงที่ผูกขาดขายข้าวและส่งออกรายใหญ่ในสมัย รัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งวันนี้แปลงร่างมาเป็นบริษัทสยามอินดิก้า และยังพบว่าป.ป.ช.เคยชี้มูลเมื่อวันที่ 26 มี.ค.52 ว่านายโจเคยเป็นผู้ต้องหาคดีทุจริตโครงการจำนำข้าวในปี46-47 ในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายก ในนามบริษัทเพสซิเด้นอะกรีฯ ซึ่งเป็นการโกงโดยการเอาข้าวเก่ามาเวียนเทียน ซึ่งคดีดังกล่าวยังคงค้างอยู่ในป.ป.ช.ซึ่งบริษัทดังกล่าวก็ล้มในปี 2550 หลังจากการปฏิวัติ โดยก่อนหน้านั้นเสี่ยเปี๋ยงได้จดทะเบียนบริษัทใหม่ในนามสยามอินดิก้า ซึ่งเท้ากับว่าสองบริษัทเป็นบริษัทเดียวกัน”
       
       นพ.วรงค์กล่าวว่า ที่รัฐบาลอ้างเรื่องจีทูจีที่แท้เป็นการหาหัวบริษัทจีนมาหนึ่งหัวแล้วขาย ข้าวให้กับบริษัทดังกล่าว เพื่อเลี่ยงการประมูลกำหนดราคาได้ตามใจชอบ ทำกำไรมหาศาล ซึ่งอย่างต่ำมีกำไรกระสอบละ 300 บาท ได้เงินมากกว่า 2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการนำข้าวไปเทเก็บในโกดังจังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งตนไม่ทราบว่านายกฯคิดอย่างไรเพราะนายกฯยืนยันว่าเห็นเอกสารจีทูจี โดยในคลิปวีดีโอให้สัมภาษณ์กับสื่อของนายกฯก็เป็นการยืนยันว่าร่วมรับรู้กับ รัฐมนตรีในการขายข้าวครั้งนี้ โดยปฏิเสธที่จะไม่รับผิดชอบต่อการระบายข้าวล็อตนี้ไม่ได้ ผู้นำประเทศหมายเลขหนึ่งโกหกคนไทยทั้งประเทศจะอยู่ได้อย่างไร ซึ่ง 15 ล้านเสียงไม่ควรช่วยการโกหก เพราะเป็นสำนึกของนักการเมือง ซึ่งขณะนี้นายกรู้เห็นเป็นใจในการเอื้อประโยชน์ให้บริษัทผู้ใกล้ชิด
       
       นอกจานี้บริษัทอีกรายที่เป็นบริษัทไทย จากการตรวจสอบก็พบว่า ไม่ได้ขายข้าวให้นิติบุคคล แต่กลับขายให้บุคคล โดยไอ้ปาล์มได้มอบอำนาจให้ไอ้โจอีกเช่นเคย ทำไมรัฐบาลอาจหาญขายข้าวให้แก๊งค์ที่เคยทุจริตในสมัยที่พี่ชายเป็นนายกฯ กลับมาทำการทุจริตในยุคน้องสาวเป็นนายกฯอีกครั้ง และข้าวที่ขายออกไปแทนที่จะขนลงใต้คือแถวปทุมธานี อยุธยา เพื่อไปส่งปรับปรุงคุณภาพ แต่กลับส่งขึ้นไปเหนือที่จ.พิษณุโลกเพื่อไปเวียนเทียน
       
       นพ.วรงค์ อภิปรายต่อว่า มีคนส่งข้อมูลเป็นบัญชีข้าวของรัฐบาล เป็นบัญชีออมทรัพย์ของกรมการค้าต่างประเทศ เลข 385009504-5 ข้อมูลช่วงวันที่ 28 ก.ย. -15 ต.ค.ที่รัฐบาลคุยโวว่าจะมีการขายข้าวแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ พบว่ามีการถอนเงินจากธนาคารใหญ่ในหลายลักษณะ ทั้ง แคชเชียร์เชค การถอนเงิน หรือการโอนเงินจากธนาคารใหญ่ ในการจับโกหก หากเป็นการค้าแบบจีทูจี จะต้องมีการเปิดแอล/ซี แต่ครั้งนี้กลับไม่พบว่ามีการเปิดแอล/ซี แสดงว่าไม่มีการค้าข้าวให้ต่างประเทศจริง แต่กลับมีเงินหมุนเวียนจากธนาคารใหญ่ เช่น มีการโอนเงิน รวม 72 รายการ จากธนาคารใหญ่ 4 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงเทพ, ธนาคารกสิกร และธนาคารไทยพาณิชย์ รวมเป็นมูลค่า 4,960 ล้านบาท และมีการถอนเงินออกจากบัญชีกรมการค้าต่างประเทศ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 4,200 ล้านบาท เมื่อไม่มีการค้าข้าวแบบจีทูจีจริง แต่รัฐบาลกลับเปิดโอกาสให้บริษัทสยามอินดิก้า เอาข้าวของรัฐบาลไปเร่ขายให้กับโรงสี ในลักษณะของไปเงินมา มีการพบแคชเชียร์เชค ออกในนามของ นายสมคิด เรือนสุภา ที่ซื้อแคชเชียร์เชค จำนวนกว่า 500 ล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบที่อยู่ของนายสมคิด ตามที่แจ้งที่อยู่เลขที่ 191 ซอยดำเนินกลาง เขตพระนคร พบว่าไม่มีสภาพเป็นบ้านของพ่อค้าข้าวรายใหญ่ และจากการสอบถามประชาชนบ้านใกล้เคียงทราบว่า นายสมคิด ได้ย้ายไปอยู่บ้านของภรรยา ที่เขตบางแค ตนจึงตรวจสอบพบว่าเป็นเพียงบ้านไม้ 2 ชั้น ตั้งอยู่ริมคลองเท่านั้น
       
       “เมื่อตรวจสอบชื่อของนายสมคิด พบว่าเป็นคนของบริษัทสยามอินดิก้า เพราะนายสมคิด ได้รับมอบอำนาจจากเสี่ยเปี๋ยงไปจดทะเบียนตั้งบริษัทสยามอินดิก้า เมื่อวันที่ 13 ม.ค.2547” นพ.วรงค์ อภิปราย
       
       นพ.วรงค์ อภิปรายต่อว่าข้อมูลที่ตามต่อพบว่าเจอชื่อของนายสมคิดในธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 001-0-03796-9 โดยบัญชีดังกล่าวมีผู้มีอำนาจลงนาม จำนวน 5 คน อาทิ นายนิมล นางเรืองวัน นายกฤษณา นอกจากนั้นยังมีชื่อของนางเรืองวันเปิดบัญชีไว้กว่า 100 บัญชีและมีการตั้งกองทุนชื่อว่า KTAM เพื่อไว้ซุกเงิน ลักษณะที่ตรวจพบว่าเมื่อมีการโอนเงินมาช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายก็มีการถอนเงินออกจากบัญชีทั้งหมดในรูปแบบของเงินสด ตามที่ตนได้ข้อมูล คือ บัญชีนิมล พบว่ามีการโอนจากธนาคารกสิกร ไป ธนาคารกรุงไทย หลายรายการ ได้แก่ เมื่อวันที่ 27 ก.ย. จำนวน 260 ล้านบาท, วันที่ 28 ก.ย. 99 ล้านบาท, วันที่ 3 ต.ค. 485 ล้านบาท, 5 ต.ค. โอน 306 ล้านบาท และวันที่ 9 ต.ค. โอน 405 ล้านบาท โดยการโอนเงินลักษณะนี้ เชื่อว่าว่าเข้าข่ายการฟอกเงินและมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงท้าย นพ.วรงค์ ได้เปิดคลิปภาพ ที่ระบุว่า เสี่ยเปี๋ยง ได้เดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 4-5 ต.ค. 55 พร้อมอภิปรายว่า ตนทราบข่าวว่าเสี่ยเปี๋ยงเป็นผู้ที่มีอิทธิพลในวงการค้าข้าวและรัฐบาล โดยเมื่อต่างชาติจะซื้อข้าวไทย มีผู้ใหญ่ของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าให้ไปเจรจากับเสี่ยเปี๋ยง ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่บ่งชี้ชัดเจนว่าเสี่ยเปี๋ยงมีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิด กับคนในรัฐบาล และเปิดทางให้เสี่ยเปี๋ยงออกมาหากิน และตั้งบริษัทผีนำเงินออกไปฟอกที่ต่างประเทศ โดยนายกฯ ไม่ได้ดูแลป้องกันไม่ให้เกิดการทุจริต
       
       “ผมขอเสนอนายกฯ ไถ่บาป ด้วยการ ปลด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ อธิบดีองค์การคลังสินค้า และนายกฯ ควรพิจารณาตัวเองขึ้นสู่หลักประหาร” นพ.วรงค์ อภิปราย
       
       ด้านนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ชี้แจงว่า การดำเนินการของกระทรวงพาณิชย์นั้นคือการรับจำนำข้าวจากชาวนา โดยมีขั้นตอนและราคาที่ชัดเจนและมีการหักค่าความชื้น หลักคิดง่าย ๆ ของ WTO คือ กรณีที่รัฐบาลใดหรือรัฐบาลหนึ่งจะมีการอุดหนุนสินค้าการเกษตร จะต้องนำออกไปขายในตลาดโลกในราคาที่ต่ำกว่าทั่วไป ซึ่งรัฐบาลไทยไม่ได้มีเจตนาใด ๆ ที่ทำให้ราคาข้าวต่ำกว่าตลาด โดยในความเป็นจริงแล้วราคาข้าวในประเทศเวียดนามและอินโดนีเซียจะพบว่าราคา ข้าวของไทยอยู่สูงกว่า
       
       ในประเด็นเรื่องของโครงการรับจำนำใช้เงินงบประมาณไป แต่กลับเอื้อผลประโยชน์ให้แก่โรงสีนั้น ตนขอเรียนว่าการใช้เงินในโครงการนี้ประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท โดยเป็นเงินที่ ธกส.กู้เงินและจ่ายเงินสู่ชาวนาโดยตรง และได้ในราคาตันละ 1.5หมื่นบาท ส่วนปัญหาความชื้นและสิ่งเจือปนจะไปหักที่ตัวข้าวไม่ใช่หักจากราคา ซึ่งไม่ผ่านมือใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่โรงสีจะมาได้ประโยชน์จากตรงนี้ ทั้งนี้โรงสีได้รับประโยชน์จากส่วนเดียวก็คือค่าสีแปลงสภาพ แต่ไม่ได้จ่ายเป็นเงินสด แต่ถูกหักเป็นข้าวที่สีได้ ส่วนกรณีข้าวเพิ่มขึ้นมาโดยไม่รู้ว่ามาจากไหนนั้น นายบุญทรง กล่าวว่า ตัวเลข 18 ล้านตันนั้นไม่ตรงกับทางตัวเลขของกระทรวงพาณิชย์ และตนยืนยันว่ากระทรวงพาณิชย์ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ส่วนการระบายข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ได้รับมอบหมายจากรัฐบาล อย่างจีทูจี ในเรื่องนี้ไม่มีเบื้องลึกเบื้องหลังอะไร แต่การอภิปรายของฝ่ายค้านอาจจะใช้การจินตนาการมากเกินไป ข้อมูลบางส่วนตนไม่ทราบมาก่อน แต่จะมีการตรวจสอบต่อไป อย่างไรก็ตามการระบายข้าวต้องคำนึงถึงตลาดภายในและตลาดโลก การระบายข้าวจะต้องดูจังหวะและโอกาสตอนนั้น เพราะฉะนั้นจึงต้องขอเป็นความลับทางการค้า ที่ต้องปิดไม่ให้คู่แข่งทางการค้าของเรารู้ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้มีการประมูลข้าวโดยเปิดเผย ต่างจากรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ไม่มีการประกาศด้วยซ้ำไป สำหรับหน่วยงานที่เข้ามาติดต่อกับกรมการค้าต่างประเทศนั้น ขอยืนยันว่าเป็นหน่วยงานของรัฐบาลจีน โดยที่รัฐบาลจีนถือหุ้นอยู่ในบริษัทดังกล่าว 100เปอร์เซ็นต์ มีเอกสารยืนยันชัดเจน
       
       “เมื่อหน่วยงานต่างประเทศซื้อสินค้าจากเราไปแล้ว จะมอบหมายให้ใครเป็นคนรับสินค้าจากกรมการค้าต่างประเทศก็ถือว่าเป็นสิทธิ การไปสืบเสาะหาข้อมูลว่าเป็นหน่วยงานใดเข้ามาติดต่อนั้นไม่ใช่เป็นหน้าที่ ของกระทรวงพาณิชย์”นายบุญทรง ระบุ
       
       ส่วนที่กล่าวหาว่ามีนักการเมืองเป็นเจ้าของบริษัทต่างๆนั้นตนจะไป ตรวจสอบและยืนยันได้ว่าไม่มีใครมีสิทธิพิเศษในโครงการรับจำนำข้าว ยืนยันว่าโครงการนี้จะไม่ทำให้ขาดทุนงบประมาณถึง 2 แสนล้านบาท แต่จะขาดทุนเพียง 6 หมื่นล้านบาทเท่านั้น


นายกฯยันจำนำข้าวโปร่งใส

จาก โพสต์ทูเดย์

นายกฯแจงจำนำข้าวหวังสร้างแข็งแรงให้ชาวนา คุยไทยขายข้าว10เดือนได้3พันล้านบาท อยากเห็นเงินมากกว่าจำนวนตัน



น.ส.ยิ่ง ลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลุกขึ้นชี้แจงตอบข้ออภิปรายของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในประเด็นโครงการรับจำนำข้าว ว่า โครงการจำนำข้าวถือเป็นทางเลือกของเกษตกร ที่สามารถไปขายที่อื่นได้ แต่รัฐบาลมีทางเลือกว่ามีโครงการจำนำข้าว นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมจำนำข้าวทุกเม็ด 4.1 แสนล้านบาท

ด้วย โครงการนี่ จะรักษาเสถียรภาพ พบว่าราคาข้าวเปลือกในตลาดปรับขึ้น 8 เปอร์เซนต์ และวงเงินที่ใช้ต่อหนึ่งรอบปี เป็นวงเงินที่รวมมันสำปะหลัง และยางพารา อยู่ใน 4.1 แสนล้านบาท ขณะนี้ใช้จริง 3.5 แสนล้านบาท หากรวมในส่วนที่จะรับรายได้จากการขายปลายไตรมาสนี้ และสิ้นปี 2556 จะมีเงินเข้าระบบ 2.4-2.6 แสนล้านบาท

นอก จากนี้ ได้มอบให้กระทรวงพาณิชย์ในฐานะที่นายกฯเป็นประธานกรรมการนโยบายข้าว ว่า การระบายข้าวต้องเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา โปร่งใสต้องไม่ขาดทุนกว่าการประกันราคาปีที่ผ่านมา ต้องเป็นธรรม และตรวจสอบได้ นอกจากนี้ยังมองว่าได้ช่วยเกษตรกรอีกมุมหนึ่ง ที่จะนำเงินส่วนต่างไปจุนเจือครอบครัว เงินจะหมุนกลับมาเป็นภาษีสำหรับประเทศ เราต้องสร้างความแข็งแรงให้เกษตร

"ให้เถอะคะ พี่น้องชาวนาถือเป็นกระดูกสันหลังของชาติ"น.ส.ยิ่งลักษณ์ ระบุ
         
นายกฯ ชี้แจงอีกว่า หลายท่านอาจจะกังวล เรื่องทุจริตขณะนี้ได้ให้มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใสด้วยการปรับระบบ ทั้งที่จุดตรวจโรงสี ต้องมีตำรวจ 24 ชม. ให้กรรมการมีประชาชนเข้ามามากขึ้น อนาคตจะตั้ง CCTV ณ จุดรับจำนำ สร้างระบบไซโลรักษาข้าวได้นานขึ้น ใช้ไอที เก็บข้อมูลทุกขั้นตอนเรื่องปราบปรามทุจริตให้ประชาชน แจ้งเบาะแส จากนั้นจะส่งเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบตลอดเวลา
         
"โครงการ นี้ ผลสำรวจนโยบายดีหรือไม่ดีอยากถามประชาชน จากผลสำรวจของนิด้า สวนดุสิต ม.หอการค้า อีสานโพลล์ ประชาชนพอใจโครงการรับจำนำข้าว ถ้าประชาชน มีความสุข รัฐบาลก็มีความสุข"น.ศ.ยิ่งลักษณ์ ย้ำ
         
ส่วน ประเด็นที่ว่า ประเทศไทยจะเสียแชมป์หรือไม่ ถ้าดูปริมาณ ม.ค.-ต.ค.ไทยเป็นที่สามรองจากเวียดนาม และอินเดีย แต่ถ้ามาดูในราคาเฉลี่ยไทย 679 เหรียญ เวียดนาม 445 เหรียญ มูลค่าส่งออกของไทยที่ 3 พันล้านบาท

"ถ้าถามในฐานะคนไทยอยากเห็นจำนวนเงินมากกว่าจำนวนตัน" นายกรัฐมนตรี กล่าว


รัฐเสียงอ่อยยอมรับขายข้าวไม่ออก

จาก โพสต์ทูเดย์

"โต้ง" ระบุหนักใจขายข้าวที่รับจำนำมาไม่ได้ เนื่องจากราคาแพง เล็งชักจูงชาวนาปลูกมันสำปะหลัง อ้อย แก้ปัญหาข้าวรับจำนำล้น

นาย กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง กล่าวว่า โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลจะมีปัญหาขาดทุนแต่ยังประเมินไม่ได้ว่าเป็น จำนวนเท่าไร

นอก จากนี้ ยอมรับว่าหนักใจเหมือนที่ฝ่ายค้านและนักวิชาการเตือน ว่า ข้าวไทยจะขายไม่ออก ได้ราคาไม่ดีต่ำกว่าที่รับจำนำมา แต่อย่างไรก็ตามรัฐบาลจะพยายามขายข้าวให้ได้ราคาดีที่สุด

นาย กิตติรัตน์ กล่าวว่า หากถึงจุดหนึ่งที่ต่างประเทศไม่สามารถรับซื้อราคาข้าวจากไทยในระดับราคาที่ ให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีได้ ก็จะชวนให้ชาวนาหันไปปลูกมันสำปะหลัง และอ้อย ที่เป็นอาหารและพลังงานทดแทน

"เรา ไม่จำเป็นต้องปลูกข้าวอย่างเดียว ไม่ต้องขายข้าวได้มากที่สุดในโลก แต่ต้องให้ชาวนาไทยมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ไม่ต้องถึงขนาดชาวนาญี่ปุ่น ที่มีเงินไปเที่ยวต่างประเทศไปและซื้อเพชร"นายกิตติรัตน์ กล่าว

นายกิตติรัตน์ กล่าวว่า ปัญหาการทุจริตจากโครงการรับจำนำข้าว หากฝ่ายค้านหรือใครพบเห็นก็ให้ดำเนินการจับได้เลย


ปชป.โชว์ข้อมูลจำนำข้าวเอื้อโรงสีรวย730ล.

จาก โพสต์ทูเดย์

ปชป.ชี้ยอดส่งออกข้าวรัฐขัดตัวเลขศุลกากร อัดรัฐบาลเอื้อพวกพ้องสส.เพื่อไทย ยันโรงสีอีสานรวยพุ่ง 730 ล้าน      

เมื่อ เวลา 13.00 น. วันที่ 26 พ.ย. ที่รัฐสภา ยังคงมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นโครงการับจำนำข้าวของรัฐบาล โดยนายเกียรติ สิทธีอมร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นอภิปราย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)

ทั้ง นี้นายเกียรติอภิปรายว่า จากการตรวจสอบตัวเลขของกรมศุลกากรระบุว่าการส่งออกข้าวทั้งระบบของประเทศได้ เพียง 4.7  ล้านตันเท่านั้นไม่ใช่ 5 ล้านกว่าตันตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง อยากตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการเวียนเทียนข้าวให้ไปวิ่ง เล่นในประเทศ เนื่องจากเมื่อปีที่ผ่านมาประเทศประสบปัญหาน้ำท่วม 3-4 เดือนแล้วรัฐบาลนำข้าวที่ไหนมารับจำนำ

นาย เกียรติ กล่าวอีกว่า นอกจากจะมีการเวียนเทียนนำสต๊อกเก่ารวมถึงข้าวในประเทศเพื่อนบ้านมาจำนำ เเล้ว การที่รัฐบาลบอกว่าได้ทำสัญญาขายข้าว 7.3ล้านตันแล้วนั้นถือเป็นการส่งออกที่จะเสร็จสิ้นในปี 56 และกว่าจะได้เงินต้องบวกไปอีกกว่า 2 ปี และจะยิ่งขาดทุนเพราะเท่าที่ทราบรัฐบาลขายข้าวได้ต่ำกว่าราคากลางของตลาดที่ กำหนดไว้ 600 เหรียญหรือ 1.8 หมื่นบาทต่อตัน แต่ความจริงขายได้เพียง 400 เหรียญต่อตันเท่านั้น โดยอ้างว่าเป็นราคามิตรภาพ ไม่ทราบว่าใครให้สิทธินายกรัฐมนตรีไปขายข้าวในราคามิตรภาพ

"วันนี้ ในวงการข้าวเขาทราบกันดีว่าถ้าโรงสีใดอยากได้ข่าวต้องติดต่อเจ๊ "ด." คนเดียว และที่ผ่านมามีบริษัท "ส." ได้สิทธิกระจายข้าวจากโครงการรับจำนำ มีการจัดเป็นระบบในการส่งมอบ จัดหาข้าวและแบ่งกำไรให้โรงสีกิโลกรัมละ 1 บาท"นายเกียรติกล่าว

อย่าง ไรก็ตามที่ผ่านมามีผู้เตือนรัฐบาลเกี่ยวกับโครงการนี้ผ่านการเขียน บทความกว่า 3,500 บทความในประเทศ และบทความต่างประเทศถึง 356 บทความ อีกทั้งสถาบัน Carnegie ที่มีอดีตประธานธนาคารโลกประจำประเทศไทยเป็นประธานสถาบันได้เตือนรัฐบาลว่า โครงการนี้จะทำให้รัฐบาลเสียงบประมาณถึงเกือบ 5% ของรายได้ของทั้งประเทศ แต่ที่ผ่านมารัฐบาลกลับไม่เคยรับฟัง 

นาย เกียรติ กล่าวต่อว่า หากเทียบงบประมาณที่รัฐบาลใช้กับโครงการรับจำนำพบว่าขาดทุนมหาศาล เพราะมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติเงิน 4.05 แสนล้านบาทต้องรับจำนำข้าวได้ 26 ล้านตันครอบคลุมเกษตรกร 4 ล้านครัวเรือน แต่รัฐบาลกลับใช้เงิน 4.05 แสนล้านรับจำนำข้าวได้เพียง 18 ล้านตันและครอบคลุมเกษตรกรเพียง 1.7 ล้านครัวเรือนเท่านั้น เท่ากับเงินหายไปถึง 1.2 แสนล้านบาท

นอก จากนี้ตัวเลขจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยังระบุว่ารัฐบาลใช้ เงินโครงการรับจำนำข้าวนาปีและนาปรังในปี 54/55 รวมถึงข้าวนาปรังรวมเป็นงบที่ไม่ใช่เพียงเบิกออกมาแต่ใช้ไปแล้วถึง 5.17 แสนล้านบาท หากเทียบกับสูตร 4.05 แสนล้านบาทต้องได้ 26 ล้านตันแล้ว เท่ากับว่าเงินหายไปจากงบประมาณ 5.17 แสนล้านบาทถึง 1.8 แสนล้านบาท    

ทั้ง นี้เม็ดเงินจากโครงการรับจำนำข้าวไม่ได้ตกถึงเกษตรกรอย่างแท้จริง เพราะจากการตรวจสอบโรงสีข้าวของ สส.พรรคเพื่อไทยหลายแห่งพบว่ามีรายได้เพิ่มขึ้นมหาศาล โรงสีในประเทศมีทั้งหมด 3.8 หมื่นราย มีโรงสีขนาดใหญ่ 3 พันโรง แต่มีโรงสีที่เข้าโครงการรับจำนำเพียง 652 โรงเท่านั้น พบว่าโรงสีในภาคกลางแห่งหนึ่งมีรายได้ในปี 53 เพียง 19 ล้านบาท แต่กลับเพิ่มขึ้นในปี 54 ถึง 44 ล้านบาท โรงสีแห่งหนึ่งที่ติดกับ กทม.ปี 53 มีเพียง 3 หมื่นบาท แต่เพิ่มขึ้นสูงถึง 114 ล้านบาทในปี 54 และยังพบว่าโรงสีอีกแห่งในภาคอีสานมีรายได้สูงขึ้นถึง 730 ล้านบาท ทั้งนี้ไม่ต้องการเปิดเผยชื่อเจ้าของโรงสี เพราะวันนี้ตั้งใจมาอภิปรายนายกรัฐมนตรี

"นี่ เป็นการทุจริตเชิงนโยบาย เพราะอาศัยนโยบายของรัฐบาลทำให้เกิดการทุจริต แทนที่จะเป็นการจำนำทุกเมล็ด แต่กลับกลายเป็นการทุจริตทุกเมล็ด"นายเกียรติกล่าว   


เครือข่ายชาวนาภาคกลางหนุนจำนำข้าว

จาก โพสต์ทูเดย์

แกนนำชาวนา 9 จังหวัดภาคกลางยันโครงการจำนำข้าวรัฐบาลเกษตรกรได้ประโยชน์จริง

พ.ท.พร พงศ์ สุขวงจันทร์ แกนนำกลุ่มประสานงานเครือข่ายชาวนาภาคกลาง 9 จังหวัด อาทิ จ.สุพรรณบุรี สิงห์บุรี อ่างทอง ลพบุรี ชัยนาท ได้เข้ายื่นหนังสือต่อนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายวัฒนา เซ่งไพเราะ โฆษกประธานสภาฯ เป็นตัวแทนรับหนังสือดังกล่าว

พ.ท.พร พงศ์ กล่าวว่า ขอยืนยันว่าโครงการรับจำนำข้าวในพื้นที่ภาคกลางของรัฐบาลมีความโปร่งใส ไม่เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นตามที่ฝ่ายค้านกล่าวหาแต่อย่างใด ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวของรัฐบาลชาวนาได้ประโยชน์จริง สามารถตรวจสอบได้ผ่านสมุดประจำตัวเกษตรกร ซึ่งจะมีการระบุ เช่น เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ น้ำหนักข้าว ความชื้น เป็นต้น

นอก จากนี้ การตีราคาข้าว ก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่โครงการคอยประจำในทุกจุด ขณะนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ก็โอนเงินให้กับชาวนาโดยตรง ดังนั้น ยืนยันว่าชาวนาที่ร่วมโครงการได้รับประโยชน์จริง ทั้งนี้ จะยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ต่อไปด้วย


ขู่เทข้าวประจานกดดันเปิดจุดจำนำเพิ่ม

จาก โพสต์ทูเดย์

ขู่เทข้าวประจานกดดันเปิดจุดจำนำเพิ่ม

ม็อบชาวนากาญจน์ขู่เทข้าวประจานหากไม่เปิดจุดรับจำนำเพิ่ม-อนุญาตให้โรงสีนอกพื้นที่รับจำนำ

ชาว นาจ.กาญจนบุรีกว่า 300 คน นำโดยนายแรม เชียงกา แกนนำ พร้อมรถบรรทุกข้าวเปลือก 10 ตัน เดินทางไปที่ศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อยื่นหนังสือและร้องขอให้นายชัยวัฒน์ ลิมป์วรรณธะ ผวจ.กาญจนบุรี ให้ความช่วยเหลือในการเปิดจุดรับจำนำข้าวเปลือกเพิ่ม พร้อมทั้งให้มีการอนุมัติให้โรงสีนอกพื้นที่เข้ามามีส่วนร่วมในการรับจำนำ ข้าว โดยมีนาย แรม เชียงกา กลุ่มเกษตรกรทำนาจังหวัดกาญจนบุรีเป็นแกนนำ มีนายชัยวัฒน์ ธนวัฒน์สุวรรณ ส.อบจ.เขต อ.ห้วยกระเจา เป็นตัวแทนยื่นหนังสือผ่าน นางพรรษวรรณ จันทร์ดี หัวหน้าสำนักงานการค้าภายใน จ.กาญจนบุรี

นาย แรม กล่าวว่า ขณะนี้เวลาล่วงเข้าสู่ฤดูการเก็บเกี่ยวแล้วข้าวเปลือกเริ่มทยอยออกสู่ตลาด แต่กลุ่มเกษตรกรทำนาจังหวัดกาญจนบุรีที่ผลิตข้าวออกมารวมกันนับแสนตัน แต่ยังไม่สามารถนำข้าวไปจำนำตามโรงสีได้ เนื่องจากยังไม่ได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)ระดับจังหวัดฯ ทั้งที่เราได้ยื่นหนังสือเสนอให้มีการเปิดประชุมคณะอนุกรรมการติดตามกำกับ ดูแลการรับจำนำข้าวเปลือกระดับจังหวัดแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ ในการปฏิบัติหน้าที่ของคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)ระดับจังหวัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเลย

นาย แรม กล่าวอีกว่า โรงสีในพื้นที่ มีการรวมตัวกันเพื่อเอาเปรียบชาวนา ด้วยการกดราคาข้าวเปลือกลงอย่างไม่เป็นธรรม เกษตรกรก็ต้องจำยอมนำข้าวเปลือกไปจำนำที่โรงสีภายในพื้นที่เท่านั้น โดยเกษตรกรไม่สามารถที่จะต่อรองราคาได้เพราะไม่มีทางเลือก จากที่รัฐบาลประกันราคาข้าวเปลือกในราคาตันละ 15,000 บาท แต่โรงสีในพื้นที่กลับกดราคาเหลือแค่ ตันละ 10,400 บาท หรือน้อยกว่านี้ แล้วเงินส่วนต่างใครได้ประโยชน์ ถือเป็นปัญหาใหญ่ของเกษตรกรชาวนาในปัจจุบัน 

นอก จากนี้ในการปฏิบัติหน้าที่ที่ล่าช้าของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงเป็น ช่องโหว่ให้โรงสีภายในพื้นที่ได้ผลประโยชน์ไปเต็มๆ แต่ชาวนาถูกเอาเปรียบในเรื่องของน้ำหนักและการวัดความชื้น จึงคิดว่าน่าจะให้โรงสีนอกพื้นที่ข้ามเขตมาเปิดจุดรับจำนำข้าวได้ เพื่อประโยชน์ของชาวนาที่จะได้มีทางเลือกบ้าง โดยเฉพาะโรงสีจากจังหวัดนครปฐม ที่มีศักยภาพในการรับซื้อ เชื่อว่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดตรงตามนโยบายของรัฐบาล ดังนั้นกลุ่มเกษตรกรทำนาจังหวัดกาญจนบุรี ขอเรียกร้องให้คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.)ระดับจังหวัดฯได้มีการเปิดประชุมคณะอนุกรรมการด่วนที่สุด เพื่อระงับความเดือดร้อน 

"ถ้า หากภายในวันนี้เรายังไม่ได้รับความชัดเจน จะรวมตัวกันเพื่อไปยื่นหนังสือเรียกร้องต่ออธิบดีกรมการค้าภายใน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รวมถึง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพราะเกษตรกรชาวนาอย่างพวกเราได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก"นายแรม กล่าว

นอก จากนี้มีรายงานว่า กลุ่มเกษตรกรทำนาได้ยืนประท้วงอยู่ที่บริเวณด้านหน้าทางขึ้นศาลากลางจังหวัด กาญจนบุรีประมาณ 1 ชั่วโมง จากนั้นได้รับการประสานจาก นายชัยวัฒน์  ให้ส่งตัวแทนกลุ่มเกษตรกรทำนา ขึ้นไปประชุมร่วมกันที่ห้องประชุมศาลกลาง โดยใช้เวลาในการประชุมนานกว่า 1 ชั่วโมง จึงแล้วเสร็จ โดยนายชัยวัฒน์ ได้รับปากกับกลุ่มเกษตรกรว่า จะเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือชาวนาอย่างเร่งด่วน โดยมีการนัดหมายกับตัวแทนกลุ่มเกษตรกร ให้มารับฟังคำตอบในเวลา 16.00 น.ของวันที่ 27 พ.ย.ทั้งนี้ก่อนกลุ่มเกษตรกรทำนาทั้งหมดจะเดินทางกลับ 

อย่าง ไรก็ตาม นายแรม แกนนำได้กล่าวว่า หากในวันพรุ่งนี้ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือตามที่ร้องขอ จะเดินทางไปยังทำเนียบรัฐบาลอย่างแน่นอน โดยจะมีกลุ่มเกษตรกรจากจังหวัดสุพรรณบุรี และจังหวัดใกล้เคียงเดินทางไปร่วมจำนวนมาก สำหรับข้าวเปลือกที่เราเตรียมมาด้วย ในวันนี้จะยังไม่มีการเทประจานแต่อย่างใด แต่ในวันพรุ่งเราจะนำมาด้วยเช่นเดิม


ชาวนาบุรีรัมย์โวยออกใบประทวนล่าช้า

จาก โพสต์ทูเดย์

ชาวนาบุรีรัมย์โวย อคส.ออกใบประทวนล่าช้านำข้าวจำนำแต่นัดรับอีก 12วันได้เงินช้าไม่ทันใช้หนี้

ชาว นาอ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ยังคงบรรทุกข้าวเปลือกเข้าร่วมโครงการรับจำนำอย่างต่อเนื่อง ส่วนมากยังพบข้าวของเกษตรกรหัก และมีความชื้นสูง ถูกทางโรงสีกดราคาซื้อได้ราคาขายเพียงกิโลกรัมละ 12 - 14 บาทเท่านั้น หรือหากเข้าร่วมโครงการจำนำฯ ก็จะอยู่กิโลกรัมละ 15 - 16 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาที่รัฐบาลกำหนดกิโลกรัมละ 20 บาท พร้อมกันนี้ชาวนายังได้ร้องขอให้ภาครัฐได้เร่งออกใบประทวนให้กับเกษตรกร ที่นำข้าวมาเข้าร่วมโครงการเร็วขึ้นเพราะขณะนี้หลังจากเกษตรกรนำข้าวมาเข้า ร่วมโครงการฯได้รับใบชั่งน้ำหนักจากโรงสีแล้ว

อย่าง ไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้า หรือ อคส.ได้เขียนใบนัดแนบไปกับใบชั่งน้ำหนักข้าวให้กับเกษตรกรมารับใบประทวนจาก วันนี้นับไปอีก 12 วัน เพื่อนำไปขึ้นเงินกับ ธกส.ซึ่งเกษตรกรมองว่าเป็นการดำเนินการที่ได้เงินล่าช้าไม่ทันกับการที่จะนำ ไปใช้จ่ายเป็นค่าแรง ค่ารถเกี่ยว และชำระหนี้สินที่เกิดจากการกู้ยืมมาเพาะปลูกข้าวประกอบกับปีนี้เกษตรกรใน หลายพื้นที่ได้ประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงนาข้าวแห้งตายได้ผลผลิตน้อยกว่าทุกปีที่ ผ่านมาด้วย

นาย สิริศักดิ์ การรัมย์ เกษตรกร ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า ไม่เข้าใจมาตรฐานของโครงการฯเพราะข้าวของเกษตรกรมีความชื้น หักสิ่งเจือปนได้ราคากิโลกรัมละที่ต่างกันตั้งแต่ราคา 12 - 18 บาทแต่เมื่อโรงสีนำข้าวไปเทในโกดังกลับเทไว้รวมกันจึงอยากให้ภาครัฐได้ชี้ แจงให้เข้าใจ ขอให้รัฐบาลนำเจ้าหน้าที่มาดูแลเกษตรกรตามจุดจำนำต่างๆ ให้ทั่วถึงด้วยโดยเฉพาะการตรวจสอบการหักค่าความชื้นและสิ่งเจือปนเพราะเชื่อ ว่ายังไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร

ด้าน นายเนียน กอแก้ว เกษตรกร ต.กระสัง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า ขอให้ทางภาครัฐได้ออกใบประทวนให้เร็วกว่านี้เพื่อที่จะนำไปขึ้นเงินกับ ธกส. เพราะนำข้าวมาเข้าร่วมโครงการวันนี้แต่ทางเจ้าหน้าที่ อคส.ได้เขียนใบนัดให้มารับใบประทวนในวันที่ 7 ธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นระยะเวลานานถึง 12 วัน ทั้งที่ทางรัฐบาลกำหนดไว้ว่าจะให้ใบประทวนไม่เกิน 3 วันทำให้เกษตรกรต่างเดือดร้อนในการนำเงินไปใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็นหลังเก็บ เกี่ยวจึงฝากให้รัฐบาลได้พิจารณาช่วยเหลือในกรณีดังกล่าวด้วย


ฝ่ายค้านซัดสารพัดวิธีทุจริตจำนำข้าว

จาก โพสต์ทูเดย์

ปชป.แฉกระบวนการทุจริตจำนำข้าวพบมากเหนือ-กลาง-อีสาน เผยตระกูล “กุลดิลก” มีหุ้นโรงสีออกใบประทวนปลอม

เมื่อ เวลา 16.00 นายอรรถพร พลบุตร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์  ได้อภิปรายพร้อมนำเสนอคลิปวีดีโอที่ทางพรรคบันทึกไว้เกี่ยวกับการทุจริตของ โครงการรับจำนำข้าว โดยพบขั้นตอนการทุจริตในหลายรูปแบบและหลายพื้นที่ เช่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือง ภาคเหนือ และภาคกลาง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานพบว่ามีการนำข้าวจากกัมพูชาเข้ามาจำนำในไทย ได้กำไรเฉลี่ยตันละหมื่นกว่าบาท

พร้อม กันนี้ยังมีเครือข่ายนักการเมืองร่วมมือกับโรงสีทำการเวียนเทียน ข้าว โดยใช้วิธีการจำนำข้าวในจังหวัดหนึ่งและนำไปจำนำต่ออีกจังหวัดหนึ่ง ซึ่งจากคลิปเป็นการนำข้าวจากจ.อุบลราชธานีไปจำนำต่อที่จ.สุรินทร์ ทั้งนี้ พบว่ามีการนำข้าวนาปีที่นำไปเข้าโครงการรับจำนำข้าวแล้ว นำมาเทและบรรจุกระสอบใหม่แล้วนำไปเข้าโครงการรับจำนำข้าวนาปรัง ต่อ ขณะเดียวกันพบว่ามีการนำข้าวเหลืองซึ่งเป็นข้าวเสื่อมคุณภาพนำมาซ่อนไว้ใน กองข้าวที่ได้คุณภาพด้านใน จึงทำให้ยากต่อการตรวจสอบ

นอก จากนี้ พบการทุจริตที่น่าอับอายที่สุดในพื้นที่จ.นครปฐม อ.ดอนตูม บ้านลาดสะแก ที่มีโรงสีแห่งหนึ่งร่วมมือกับชาวบ้านที่ไม่ได้ประกอบอาชีพเกษตรกรผู้ปลูก ข้าว ซึ่งส่วนให้ประกอบอาชีพบ่อเลี้ยงปลาและสวนผัก โดยนำชาวบ้านไปลงทะเบียนชาวนา พร้อมแจ้งพื้นที่นาอันเป็นเท็จ จากนั้นจะทำการออกใบประทวนปลอม โดยโกงน้ำหนักรวมถึงราคารับจำนำข้าว เพื่อไปหลอกรัฐบาลให้ได้เงินจากโครงการมากกว่าความเป็นจริง และเมื่อได้เงินมาโรงสีจะแบ่งส่วนแบ่งให้กับชาวนาปลอม อีกทั้ง พบว่ามีคนในตระกูล “กุลดิลก” เป็นหุ้นส่วนอยู่ในโรงสีดังกล่าวด้วย

จาก นั้น บรรยากาศการอภิปรายได้มีเกิดการประท้วงจากผู้ที่ถูกพาดพิงจากฝั่งรัฐบาลตลอด เวลา โดยร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ได้พยายามขออนุญาตประธานเพื่อทำการชี้แจงในประเด็นที่ถูกพาดพิง แต่นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งที่ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม ไม่อนุญาตให้ร.ต.อ.เฉลิมชี้แจง รวมทั้งขอให้นายบุญทรง นั่งลง เพื่อขอทำความเข้าใจกับสมาชิก ว่า นายกรัฐมนตรีพูดภาพรวมแล้ว และสามารถมอบหมายให้รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องชี้แจงในรายละเอียดแทนได้

โดย นายถาวร เสนเนียม สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้ประท้วงว่าในสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้มีการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ในขณะนั้นนายอภิสิทธิ์ ได้มอบหมายให้ตนชี้แจงแทน แต่ประธานในที่ประชุมกลับวินิจฉัยว่าไม่สามารถทำได้ เนื่องจากเป็นการเสนอญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ ดังนั้น ขอยืนยันว่าต้องเป็นนายกฯเท่านั้นที่ต้องชี้แจง และขอให้ประธานตีความกฎหมายอย่างเคร่งครัดตามตัวอัษรด้วย

ขณะ ที่นายสมศักดิ์ วินิจฉัยยืนยันว่า ตามข้อบังคับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องสามารถชี้แจงได้รวมถึงใช้สิทธิ์อภิปราย เมื่อมีการอภิปรายพาดพิงได้ จากนั้นร.ต.อ.เฉลิม .ใช้สิทธิ์ชี้แจงว่า ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยการตรวจสอบเพื่อป้องกันการทุจริตในโครงการรับ จำนำข้าว  และที่ผ่านมามีการจับกุมดำเนินคดีกับผู้ที่ทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวถึง 81 คดี และขณะนี้ศาลได้พิพากษาไปแล้วจำนวน 2 คดี

ส่วน ที่เหลืออยู่ระหว่างดำเนินการ ดังนั้น รัฐบาลขอแสดงความจริงใจในประเด็นการปราบทุจริต ขอให้ฝ่ายค้านนำหลักฐานการทุจริตข้าวมามอบให้ตน โดยจะเปิดห้อง 3310 รอ และจะเชิญตำรวจที่เกี่ยวข้องมารับเรื่องร้องทุกข์โดยยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ มีการปาหี่


'เกียรติ'อัดนโยบายจำนำข้าวพบทุจริตอื้อ

"เกียรติ"นำทีมส.ส.ประชาธิปัตย์ อัดนายกฯปมทุจริตจำนำข้าว ซัดเป็นนโยบายที่พบทุจริตอื้อ
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมสภาผู้แทนราษฎร นัดพิเศษ เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีเป็นรายบุคคล วันที่สอง ในช่วงบ่าย ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ ได้สลับขึ้นอภิปรายรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ต่อประเด็นการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดของรัฐบาล โดยนายเกียรติ สิทธีอมร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่าจากการตรวจสอบตัวเลขของกรมศุลกากรระบุว่าการส่งออกข้าวทั้งระบบ ของประเทศได้เพียง 4.7 ล้านตันเท่านั้นไม่ใช่ 5 ล้านกว่าตันตามที่รัฐบาลกล่าวอ้าง อยากตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการเวียนเทียนข้าวในโครงการ เพราะในปีที่ผ่านเกษตรกรประสบภัยพิบัติน้ำท่วมและข้าวเปลือกเสียหายกว่า 8 ล้านตัน

นาย เกียรติ อภิปรายอีกว่า นอกจากจะมีการเวียนเทียนนำสต๊อกเก่า รวมถึงข้าวในประเทศเพื่อนบ้านมาจำนำ แล้วการที่รัฐบาลบอกว่าได้ทำสัญญาขายข้าว 7.3 ล้านตันแล้วนั้นถือเป็นการส่งออกที่จะเสร็จสิ้นในปี 56 และกว่าจะได้เงินต้องบวกไปอีกกว่า 2 ปี และจะยิ่งขาดทุนเพราะเท่าที่ทราบรัฐบาลขายข้าวได้ต่ำกว่าราคากลางของตลาดที่ กำหนดไว้ 600 เหรียญ หรือ 1.8 หมื่นบาทต่อตัน แต่ความจริงขายได้เพียง 400 เหรียญต่อตันเท่านั้น โดยอ้างว่าเป็นราคามิตรภาพ ไม่ทราบว่าใครให้สิทธินายกรัฐมนตรีไปขายข้าวในราคามิตรภาพ

"วันนี้ ในวงการข้าวเขาทราบกันดีว่าถ้าโรงสีใดอยากได้ข่าวต้องติดต่อเจ๊ ด.คนเดียว และที่ผ่านมามีบริษัท ส.ได้สิทธิกระจายข้าวจากโครงการรับจำนำมีการจัดเป็นระบบในการส่งมอบ จัดหาข้าวและแบ่งกำไรให้โรงสีกิโลกรัมละ 1 บาท ที่ผ่านมามีผู้เตือนรัฐบาลเกี่ยวกับโครงการนี้ผ่านการเขียนบทความกว่า 3,500 บทความในประเทศ และบทความต่างประเทศถึง 356 บทความ แต่รัฐบาลไม่เคยรับฟัง" นายเกียรติ อภิปราย

นาย เกียรติ กล่าวต่อว่า หากเทียบงบประมาณที่รัฐบาลใช้กับโครงการรับจำนำพบว่าขาดทุนมหาศาล เพราะมติคณะรัฐมนตรีอนุมัติเงิน 4.05 แสนล้านบาทต้องรับจำนำข้าวได้ 26 ล้านตันครอบคลุมเกษตรกร 4 ล้านครัวเรือน แต่รัฐบาลกลับใช้เงิน 4.05 แสนล้านรับจำนำข้าวได้เพียง 18 ล้านตันและครอบคลุมเกษตรกรเพียง 1.7 ล้านครัวเรือนเท่านั้น เท่ากับเงินหายไปถึง 1.2 แสนล้านบาท นอกจากนี้ตัวเลขจากสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติยังระบุว่ารัฐบาลใช้ เงินโครงการรับจำนำข้าวนาปีและนาปรังในปี 54/55 รวมถึงข้าวนาปรังรวมเป็นงบที่ไม่ใช่เพียงเบิกออกมาแต่ใช้ไปแล้วถึง 5.17 แสนล้านบาท หากเทียบกับสูตร 4.05 แสนล้านบาทต้องได้ 26 ล้านตันแล้ว เท่ากับว่าเงินหายไปจากงบประมาณ 5.17 แสนล้านบาทถึง 1.8 แสนล้านบาท แต่ผลประโยชน์ที่ได้กลับพบว่าไม่ถึงมือชาวนา แต่กลับมีโรงสีเท่านั้นที่ได้รายได้อย่างมหาศาล โดยเป็นโรงสีพื้นที่ภาคกลาง จาการตรวจสอบโรงสีแห่งหนึ่ง มียอดรายได้ปี 54 ถึง 44 ล้านบาท ทั้งที่ยอดรายได้ในปี 53 มีเพียง 19 ล้านบาท หรือในโรงสีที่อยู่ใกล้ กทม. มีรายได้ปี 54 สูงถึง 114 บาท ทั้งที่ปี 53 มีรายได้แค่ 3หมื่นบาท

"โครงการ นี้ผมมองว่าไม่ใช่โครงการทุจริตเชิงนโยบาย เรียกว่า เป็นการทุจริตด้วยนนโยบาย เพราะนโยบายทำให้เกิดทุจริตทั้งระบบ ชาวนาไม่ได้อะไร และนโยบายจะทำให้ประเทศล้มละลาย โครงการนี้ทุจริตทุกเม็ด มีคนโกยแล้วโกยอีก อยากถามว่าต่อมสำนึกนายกฯ อยู่ที่ไหน" นายเกียรติ อภิปราย

จาก นั้น นายยุพราช บัวอินทร์ ส.ส.เพชรบูรณ์ พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่าในโครงการรับจำนำข้าวทุกเมล็ดในพื้นที่ จ.เพชรบูรณ์ พบว่ามีการโกงชาวนาเกิดขึ้น โดยโรงสี ทั้งในขั้นตอนการตรวจวัดความชื้น นอกจากนั้นแล้วยังพบด้วยว่าโรงสี ซึ่งไม่ได้เข้าในโครงการรับจำนำ ดำเนินการรับจำนำข้าวของเกษตรกร และนำไปขายให้กับ อตก. ทั้งนี้โรงสีที่รับซื้อข้าวดังกล่าวถูกตำรวจจับดำเนินคดี ทำให้ประเด็นนี้สงสัยว่า อตก. มีความผิดในข้อหารับของโจรหรือไม่ นอกจากนั้นแล้วยังพบว่ามีกระบวนการทำทุจริตโครงการรับจำนำข้าวในพื้นทีโดยมี เจ้าหน้าที่รัฐเป็นผู้ที่ดำเนินการ

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงท้ายของการอภิปราย นายยุพราช ได้เปิดคลิปวีดีโอ ภาพการสนทนาระหว่างกลุ่มบุคคล โดยมี ชายรูปร่างอ้วน สวนเสื้อโปโลสีน้ำเงิน ที่ถูกคาดหน้าด้วยแถบสีดำ ระบุว่า “การจ่ายเงิน ต้องทำต่อหน้าผู้ว่าฯ เท่านั้น เพราะกฎหมายกำหนด ไม่เช่นนั้นจะเป็นการยักยอกทรัพย์ เพราะผมได้เอาทรัพย์ของพวกท่านมาแล้ว” ทั้งนี้มีชายคนหนึ่งสอบถามขึ้นว่า “หากจะให้ออกใบประทวน หรือ จ่ายเงินสดก็บริการได้ใช่ไหม” ผู้ชายสวมเสื้อสีน้ำเงิน กล่าวตอบว่า “ได้เลย แต่การจ่ายเงินสด ต้องจ่ายผ่านผู้ว่าราชการจังหวัด เนื่องจากเป็นกฎหมาย ไม่สามารถจ่ายเงินสดได้ด้วยตัวผมเอง เพราะผิดเงื่อนไขจำนำ” จากนั้นนายยุพราช อภิปรายต่อว่า คลิป วิดีโอดังกล่าวเป็นตัวอย่างความล้มเหลวขอโครงการรับจำนำของรัฐบาล ที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ เป็นประธานกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ ซึ่งตนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่ จ.เพชรบูรณ์ ขึ้นอีก

จาก นั้น ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ขอใช้สิทธิ์ชี้แจงในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ว่า ตนขอข้อมูลที่นำมาเสนอ โดยตนจะเรียกตำรวจให้มารับคำร้องทุกข์ จากนั้นตนจะดำเนินการจับกุมผู้ที่ทุจริต แต่ยังไม่ทันที่ ร.ต.อ.เฉลิมจะชี้แจงจบ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ได้ลุกประท้วงว่า ร.ต.อ.เฉลิม ไม่มีสิทธิ์ที่จะชี้แจงต่อที่ประชุม โดยการประท้วงดังกล่าวได้ใช้เวลานานกว่า 30 นาที จึงสามารถเข้าสู่การอภิปรายตามปกติได้ โดยส่วนใหญ่เป็นการอภิปรายประกอบคลิปวิดีโอในประเด็นการลักลอบนำข้าวจาก ประเทศเพื่อนบ้าน เข้ามาสู่ประเทศไทย เพื่อสวมสิทธิ์ข้าวในโครงการรับจำนำ


แฉตั้งบริษัทผีรับซื้อข้าวจีทูจี

จาก โพสต์ทูเดย์

"หมอ วรงค์"แฉตั้งบริษัทผีรับซื้อ ข้าวจีทูจี พบชื่อผู้ช่วย "ภรรยาอริสมันต์" อยู่เบื้องหลัง โยงใกล้ชิด "เสี่ยเปี๋ยง" บิ๊กสยามอินดิก้า ซัดนายกฯรู้เห็นตลอด      

เมื่อ เวลา 17.30 น. วันที่ 26 พ.ย. ที่รัฐสภา นพ.ณรงค์ เดชกิจวิกรม สส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โดย น.พ.วรงค์ อภิปรายโจมตีการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (จีทูจี) ที่รัฐบาลอ้างว่าขายให้กับบริษัทไทยและบริษัทจีน โดยรัฐบาลอ้างว่ารัฐบาลจีนมีการตั้งบริษัทขึ้นมารับข้าวในเงื่อนไขจีทูจี แต่จากการตรวจสอบพบว่าบริษัทจีเอสเอสจี อิมพ์แอนด์เอ็กซ์พอร์ต ประเทศจีนที่รับซื้อข้าวของรัฐบาลนั้นมีชื่อนายรัฐนิธ โสจิรกุลเป็นผู้มีอำนาจของบริษัท ลงนามมอบอำนาจให้กับนายนิมล รักดี ที่อยู่ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ให้เป็นผู้มีอำนาจในการลงนามแทน

เมื่อ ตรวจสอบพบว่า นายรัฐนิชนั้นมีชื่อเล่นว่า “ปาล์ม” แท้จริงแล้วเป็นผู้ช่วยลำดับที่ 3 ของนางรพีพรรณ พงศ์เรืองรอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ภรรยาของนายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำคนเสื้อแดง

“ตรวจ สอบแล้วว่านายรัฐนิชมีอายุ 32 ปีมีเงินฝากในธนาคารกรุงไทยค้างอยู่เพียง 64 บาท 63 สตางค์ ไม่น่าเชื่อว่ารัฐบาลจะค้าขายข้าวจีทูจีกับคนแบบนี้”น.พ.วรงค์กล่าว

น.พ.วรงค์ กล่าวต่อว่า ส่วนชื่อนายนิมล ที่เป็นผู้มีอำนาจของบริษัทจีนนั้น ตรวจสอบพบว่าเป็นคนในพื้นที่ จ.พิจิตร ชื่อ “เสี่ยโจ” เป็นมือขวาให้กับ “เสี่ยเปี๋ยง” ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง โดยเสี่ยเปี๋ยงเคยถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดในการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในปี 46 – 47 สมัยรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ

อย่าง ไรก็ตามบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทสยาม อินดิก้า บริษัทใหญ่ที่รับข้าวจากโครงการรับจำนำของรัฐบาล เห็นได้ชัดว่าการขายข้าวจีทูจีของรัฐบาลไม่มีจริง เป็นการซื้อขายกับบริษัทผีที่มีเพียงชื่อแต่ให้พรรคพวกตัวเองเป็นผู้ดำเนิน การซื้อขายข้าวกับรัฐบาล  

นพ.วรงค์ อภิปรายอีกว่าสำหรับข้าวที่มีการซื้อขายพบว่าถูกนำไปไว้ที่โกดัง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นโกดังเก็บข้าวของบริษัทสยามเพรซิเดนท์ โดยใช้วิธีการเทข้าวเก็บไว้ในโกดัง แทนเก็บไว้ในกระสอบ โดยทราบว่าเมื่อช่วง 5 พ.ค. - 16 ก.ค.ที่ผ่านมา มีการนำข้าวไปไว้ถึง 4.1 แสนกระสอบ ทั้งนี้ประเด็นที่เกิดขึ้นนั้น นายกฯ ทราบข้อมูลมาตลอด ถือว่าเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีในการกระทำทุจริต ตามที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล

ทั้ง นี้จากการตรวจสอบของการบันทึกเบิกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีการอำพรางชื่อบริษัทที่จะส่งมอบข้าว โดยใบบันทึกช่วงต้นพบมีการบันทึกบริษัทรับข้าวว่า “สยามเอริก้า” แต่ช่วงท้ายของบันทึกเบิกข้าว เจ้าหน้าที่พิมพ์ว่าสยามอินดิก้า ดังนั้นจึงถือว่ามีการลับลวงพราง


ปชป.งัดหลักฐานบริษัทผีรับซื้อข้าวจีทูจี ขายข้าวให้บ.อินดิก้า กินส่วนต่าง2หมื่นล.

ปชป.งัดหลักฐานบริษัทผีรับซื้อข้าวจีทูจี ชื่อผู้ช่วย "ภรรยาอริสมันต์" โผล่อยู่เบื้องหลัง โยงใกล้ชิด "เสี่ยป."นายกฯรู้เห็นตลอด
นาย ประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส.ยะลา พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศในฐานะประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ไม่กี่วันก็เริ่มมีการขายข้าวแบบจีทูจี ค้างสต๊อค 3 แสนตัน โดยรัฐบาลได้ให้บริษัทสยามอินดี้ก้าไปทำสัญญากับองค์กรสำรองข้าวประเทศอินโน นีเซีย (บูล๊อค) ในลักษณะมีการงุมงิบทำสัญญา เนื่องจ่ากก่อนการประมูลมีเพียง 2 บริษัทที่ทราบเท่านั้น และในที่สุดบริษัทที่ได้ประมูลไปคือบริษัทสยามอินดิก้า โดยไม่มีการเปิดเผยและแจ้งให้สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยทราบ เมื่อเรื่องแดงขึ้นมา สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย ได้ทำหนังสือมาถึงรองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ ว่าเหตุใดถึงไม่ทรายบเรื่อง เพราะการขายข้าว ครั้งนี้จำนวน 3 แสนตัน ก็ไม่ได้นำสต๊อคข้าวของรัฐบาลมาดำเนินการ ทำให้องค์การคลังสินค้า ( อคส.) ต้องไปกว้านซื้อ ซึ่งถือเป็นการโกหก เพราะคงไม่มีใครมีข้าวจำนำจำนวนมากถึง 3 แสนตันเหมือนรัฐบาล ที่ไปรับซื้อในราคาที่ถูกกว่า และเห็นว่ารัฐบาลยุคนี้ กล้ากว่า หนากว่า รัฐบาลยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพราะในสมัยนั้น ซึ่งมี 4 - 5 บริษัทที่เข้าร่วมประมูล เมื่อมีการท้วงติงมา รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณก็ได้ยกเลิกการประมูล

นาย ประเสริฐ กล่าวว่า เวลาไปเจรจากับต่างประเทศใช้ยี่ห้อประเทศไทย คนไทย ข้าวไทยไปเจรจาหรือไม่ แต่เมื่อสำเร็จกลับยกให้เอกชนทำ และการอนุมัติปล่อยเงินกู้ให้กับบริษัทสยามอินดิก้าเพื่อซื้อข้าว 3 แสนตันล๊อตนี้ ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย ยังไม่รู้เลย เหมือนกับเอาเงินจากธนาคารกรุงไทยไปจ่ายให้กับอคส. ซึ่งปัจจุบันบูล๊อค ได้ทยอยเบิกข้าวไปแล้ว 1.5 แสนตัน ส่วนที่เหลือให้ชะลอไว้ก่อน ไหนว่าการขายข้าวแบบจีทูจี เป็นความลับ แต่นี่คือการปิดหูปิดตาประชาชน เพราะให้เอกชนดำเนินการใช่หรือไม่ และถ้ามอบให้เอกชนดำเนินการไม่ใช่จีทูจี

นาย ประเสริฐ กล่าวต่อว่า ส่วนที่มาของบริษัทสยามอินดิก้า มีความเชื่อมโยงกับบริษัท เพรซิเด้นอะกริ เทรดดิ้ง ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการประมูลข้าวในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นบริษัทที่เดินเข้าออกกระทรวงพาณิชย์ ได้รับผลประโยชน์จากการขายข้าว ได้ลดค่าประกันสัญญา แต่ต่อมาบริษัทดังกล่าวทำให้ อคส.เสียหายถึง4,800 ล้านบาท ซึ่งต่อมาบริษัทดังกล่าวล้มละเลย และต่อมาบริษัทเพรสซิเด้นฯ มาตั้งบริษัทไหม่ ใช้ชื่อบริษัทสยามอินดิก้า โดยมีรายชื่อกรรมการบริหารบริษัทเป็นชุดเดียวกัน ที่อยู่เดียวกัน ซึ่งบริษัทนี้ในอดีตเคยทำให้ อคส.เสียหาย แต่ทำไมถึงยังทำธุรกิจกับบริษัทนั้นอยู่ อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่า ต้องมีเงินทอนกลับมาแน่นอน แต่ไปเข้ากระเป๋าใครต้องตอบให้ได้ เพราะในการจ่ายเงิน ต้องบูล๊อคจ่ายตรงกับกับอคส.แต่วิธีนี้ต้องจ่ายผ่านเอกชน

"นายกฯ รู้ยิ่งกว่ารู้ เพราะเป็นนักธุรกิจว่า 2 บริษัทนี้โคลนนิ่งกันมา มีคุณสมบัติไม่ชอบ และมีเป้าหมายเดียวกันคือมุ่งไปสู่การทุจริต ดังนั้นอยากให้นายกฯ เปิดเผยว่า อคส.รับเศษเงินมาเท่าไหร่ หายไปเท่าไหร่ ตกหล่นอยู่ที่ไหนบ้าง ขอให้มาเปิดเผยในสภาฯแห่งนี้ นี่เป็นสิ่งที่ผมเสียใจ และไม่อาจให้นายกฯอยู่ในตำแหน่งได้ต่อไป"นายประเสริฐ กล่าว

เผยบ.อินดิก้า ร่วมทุจริตค้าข้าว กินส่วนต่าง2หมื่นล้านบาท

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ ต่อประเด็นการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ว่า การขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐระหว่างรัฐบาลจีนและรัฐบาลไทย เป็นสิ่งที่รัฐบาลโกหก เนื่องจากการตรวจสอบจากเอกสารแล้วพบว่า ในจำนวนข้าวที่รัฐบาลว่าจะขาย ในจำนวน 7.32 ล้านตันนั้นเป็นการซื้อขายให้กับบริษัทผี ของคนไทย และของบริษัทจีน ซึ่งเป็นบริษัทผี ซื้อแค่ชื่อบริษัทเพื่อมาทำสัญญาเท่านั้น โดยบริษัทจีนที่ว่านั้นชื่อ GSSG IMP AND EXP.CORPตั้งอยู่ที่นครกวางเจา ประเทศจีน

โดย ในเอกสารรับมอบอำนาจบริษัทดังกล่าว ระบุว่า นายรัฐนิธ โสจิรกุล เป็นผู้มีอำนาจของบริษัท ลงนามมอบอำนาจให้กับนายนิมล รักดี มีที่อยู่ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ให้เป็นผู้มีอำนาจในการลงนามแทน ในการซื้อขายข้าวตามสัญญารัฐต่อรัฐ จำนวน 5 ล้านกิโลกรัม โดยจากการตรวจสอบแล้วพบว่านายรัฐนิธ มีชื่อเล่นว่า “ปาล์ม” อายุ 32 ปี ผู้ช่วยลำดับที่ 3 ของ นางระพีพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และเมื่อตรวจสอบบัญชีธนาคารกรุงไทย พบว่ามียอดเงินค้างในบัญชี จำนวน 64.63 บาทเท่านั้น

นพ.วรงค์ อภิปรายต่อว่า ชื่อของนายนิมล ที่เป็นผู้มีอำนาจของบริษัทจีนนั้น ตรวจสอบพบว่า คนในพื้นที่ จ.พิจิตร เรียกว่า “เสี่ยโจ” เป็นมือขวาให้กับ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ“เสี่ยเปี๋ยง” และเมื่อตรวจสอบจากเอกสารของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) พบว่า นายนิมนต์ นั้นเป็นคนของบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง และถูก ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตรับจำนำข้าว ในปี 46 - 47 สมัยรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ในประเด็นนำข้าวเก่ามาเวียนเทียนเข้าโครงการรับจำนำ ซึ่งบริษัทเพรซิเดนท์ มีความเกี่ยวข้องกับบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด เพราะเมื่อปี 47 “เสี่ยเปี๋ยง” ได้ไปจดทะเบียนบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด ทั้งนี้นายนิมนต์ มีชื่อเรียกในวงการว่า “โจ เพรซิเดนท์ พิจิตร” เป็นคนของบริษัทสยามอินดิก้า ซึ่งเคยร่วมทุจริตค้าข้าวตั้งแต่สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ

“ประเด็น ที่รัฐบาล ยอมนำหัวของบริษัทจีนมาทำสัญญาแบบจีทูจี เป็นเพราะว่าต้องการเลี่ยงการประมูลซึ่งมีราคาสูง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า เมื่อทำเช่นนี้ จะค้าข้าวกระสอบละ 300 บาท ทั้งที่ราคาข้าวในตลาดจะอยู่ที่กระสอบละ 1,500 - 1,555 บาท ดังนั้นเมื่อค้าข้าวกระสอบละ 300 บาท จำนวนที่รัฐบาลว่าจะขายทั้งหมด 7.32 ล้านตัน จะมีค่าส่วนต่างถึ 2หมื่นล้านบาท”น.พ.วรงค์ อภิปราย

น.พ.วรงค์ อภิปรายต่อว่าสำหรับข้าวที่มีการซื้อขายพบว่าถูกนำไปไว้ที่โกดัง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นโกดังเก็บข้าวของบริษัทสยามเพรซิเดนท์ โดยใช้วิธีการเทข้าวเก็บไว้ในโกดัง แทนเก็บไว้ในกระสอบ โดยทราบว่าเมื่อช่วง 5 พ.ค. - 16 ก.ค. มีการนำข้าวไปไว้ถึง 4.1 แสนกระสอบ ทั้งนี้ประเด็นที่เกิดขึ้นนั้น นายกฯ ทราบข้อมูลและมีการสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีในการกระทำทุจริต ตามที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล

นพ.วรงค์ อภิปรายต่อว่าจากการตรวจสอบของการบันทึกเบิกข้าวของกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ พบว่ามีการอำพรางชื่อบริษัทที่จะส่งมอบข้าว โดยใบบันทึกช่วงต้นพบมีการบันทึกบริษัทรับข้าวว่า “สยามเอริก้า” แต่ช่วงท้ายของบันทึกเบิกข้าว เจ้าหน้าที่พิมพ์ว่าสยามอินดิก้า ดังนั้นจึงถือว่ามีการลับลวงพราง

ผู้สื่อข่าวรายว่าช่วงที่นพ.วรงค์อภิปรายนั้น ส.ส.เพื่อไทยได้ลุกประท้วงอย่างต่อเนื่อง


ซัดจำนำข้าวชาวนาอ่วมเงินไม่ถึงมือ

จาก โพสต์ทูเดย์

ฝ่ายค้านชี้จำนำข้าวเงินไม่ถึงมือชาวนารัฐประกาศให้1.5หมื่นต่อเกวียนแต่จำนำจริงได้เพียง1.1หมื่น ซัดนายกฯบริหารงานเหลว

เมื่อ เวลา 14.00 น.นายยุพราช บัวอินทร์ สส. เพชรบูรณ์ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลโดยระบุว่า ตามนโยยายของรัฐบาลที่จะให้ราคาจำนำข้าว 15,000 บาท ต่อเกวียนนั้นรัฐบาลจ่ายจริง แต่เงินไม่ถึงมือชาวนา เพราะถูกโกงความชื้นจากโรงสี โดยรัฐบาลพยายามแสดงให้เห็นว่าชาวนาเห็นด้วยว่า ชาวนาขายข้าวได้เพียง 11,000 บาท ต่อตัน ทั้งที่ต้นทุนเพาะปลูกอยู่ที่ 9,074 บาท ตัวเลขดังกล่าวมาจากหนังสือ รู้ลึก รู้จริง จำนำข้าว ของกระทรวงพาณิชย์ ทำให้ตั้งข้อสังเกตว่ากลุ่มที่หาประโยชน์หากำไรจากชาวนาจะได้ส่วนต่าง 4,000 บาทถามว่าเงินดังกล่าวอยู่ในกระเป๋าใคร

นาย ยุพราช กล่าวต่อว่า สำหรับฤดูข้าวนาปรังปี 55 ชาวนาในพื้นที่ อ.เมือง และ อ.หล่มศักดิ์ จังหวัด เพชรบูรณ์ จำนวน 228 ราย ถูกโรงสีโกงเงิน ไม่จ่ายเงินค่าจำนำข้าวให้ โดยเมื่อเดือนมิ.ย.55 คณะกรรมการติดตามโครงการจำนำข้าว ของ จ.เพชรบูรณ์ได้ประกาศว่าโรงสีแห่งนี้ ไม่ได้เข้าร่วมโครงการรับจำนำข้าวและมีพฤติกรรมฉ้อโกงชาวนาทำให้องค์การตลาด เพื่อเกษตร (อ.ต.ก.) ที่รับซื้อข้าวจากโรงสีต้องคืนเงินประกันจำนวน 16.5 ล้านบาท

จาก นั้นวันที่ 1 ส.ค. ชาวนากลุ่มดังกล่าวก็ได้ขอความเป็นธรรมต่อนายกรัฐมนตรี ทั้งนี้เจ้าของโรงสีก็ถูกจับกุม ดำเนินคดี  ติดคุกแล้ว แต่ขอถามว่า อ.ต.ก.มีความผิดฐานรับของโจรหรือไม่ ทั้งนี้ถือเป็นความล้มเหลวของนายกรัฐมนตรีในประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่ง ชาติ (กขช.) ที่ไม่สามารถควบคุมดูแลได้ ทำให้เกิดการทุจริตขึ้นจึงไม่ขอไว้วางใจนายกรัฐมนตรี

อย่าง ไรก็ตาม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ลุกขึ้นใช้สิทธิในการชี้แจง เนื่องจากคณะรัฐมนตรีมีมติแต่งตั้งให้เป็นประธานตรวจสอบการทุจริตในโครงการ รับจำนำข้าว โดย ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ข้อมูลที่นายยุพราช มีอยู่ ขอให้เอามา และจะเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจมารับเรื่องไปดำเนินคดีกับผู้ที่ดำเนินการ

ทั้ง นี้ สส.ของพรรคประชาธิปัตย์หลายคนได้ลุกขึ้นประท้วง อาทิ นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ สส.ยะลา  กล่าวว่า ประธานจะอนุมัติให้ ร.ต.อ.เฉลิม ตอบไม่ได้ เพราะขณะนี้กำลังอภิปรายนายกรัฐมนตรี ซึ่งการอภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิม ผ่านไปแล้ว

ขณะที่นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท  สส.บัญชีรายชื่อ กล่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิมต้องพูดหลังจากที่คนอื่นอภิปรายเสร็จแล้ว

อย่าง ไรก็ตาม นายเจริญ จรรย์โกมล ประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 ทำหน้าที่ประธานการประชุม ได้วินิจฉัยให้ ร.ต.อ.เฉลิม สามารถที่จะชี้แจงได้ เพราะมีส่วนเกี่ยวกับการปราบปรามการทจุริต แต่ สส.พรรคประชาธิปัตย์ไม่ยินยอม จนสุดท้าย นายเจริญ ได้ตัดบทให้วิปทั้ง2 ฝ่ายไปหารือกันเพื่อหาข้อยุติ และให้ นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี อภิปรายต่อไป


ชาวนาบุรีรัมย์โวยออกใบประทวนล่าช้า

จาก โพสต์ทูเดย์

ชาวนาบุรีรัมย์โวย อคส.ออกใบประทวนล่าช้านำข้าวจำนำแต่นัดรับอีก 12วันได้เงินช้าไม่ทันใช้หนี้

ชาว นาอ.เมือง จ.บุรีรัมย์ ยังคงบรรทุกข้าวเปลือกเข้าร่วมโครงการรับจำนำอย่างต่อเนื่อง ส่วนมากยังพบข้าวของเกษตรกรหัก และมีความชื้นสูง ถูกทางโรงสีกดราคาซื้อได้ราคาขายเพียงกิโลกรัมละ 12 - 14 บาทเท่านั้น หรือหากเข้าร่วมโครงการจำนำฯ ก็จะอยู่กิโลกรัมละ 15 - 16 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าราคาที่รัฐบาลกำหนดกิโลกรัมละ 20 บาท พร้อมกันนี้ชาวนายังได้ร้องขอให้ภาครัฐได้เร่งออกใบประทวนให้กับเกษตรกร ที่นำข้าวมาเข้าร่วมโครงการเร็วขึ้นเพราะขณะนี้หลังจากเกษตรกรนำข้าวมาเข้า ร่วมโครงการฯได้รับใบชั่งน้ำหนักจากโรงสีแล้ว

อย่าง ไรก็ตามทางเจ้าหน้าที่องค์การคลังสินค้า หรือ อคส.ได้เขียนใบนัดแนบไปกับใบชั่งน้ำหนักข้าวให้กับเกษตรกรมารับใบประทวนจาก วันนี้นับไปอีก 12 วัน เพื่อนำไปขึ้นเงินกับ ธกส.ซึ่งเกษตรกรมองว่าเป็นการดำเนินการที่ได้เงินล่าช้าไม่ทันกับการที่จะนำ ไปใช้จ่ายเป็นค่าแรง ค่ารถเกี่ยว และชำระหนี้สินที่เกิดจากการกู้ยืมมาเพาะปลูกข้าวประกอบกับปีนี้เกษตรกรใน หลายพื้นที่ได้ประสบปัญหาฝนทิ้งช่วงนาข้าวแห้งตายได้ผลผลิตน้อยกว่าทุกปีที่ ผ่านมาด้วย

นาย สิริศักดิ์ การรัมย์ เกษตรกร ต.บ้านด่าน อ.บ้านด่าน จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า ไม่เข้าใจมาตรฐานของโครงการฯเพราะข้าวของเกษตรกรมีความชื้น หักสิ่งเจือปนได้ราคากิโลกรัมละที่ต่างกันตั้งแต่ราคา 12 - 18 บาทแต่เมื่อโรงสีนำข้าวไปเทในโกดังกลับเทไว้รวมกันจึงอยากให้ภาครัฐได้ชี้ แจงให้เข้าใจ ขอให้รัฐบาลนำเจ้าหน้าที่มาดูแลเกษตรกรตามจุดจำนำต่างๆ ให้ทั่วถึงด้วยโดยเฉพาะการตรวจสอบการหักค่าความชื้นและสิ่งเจือปนเพราะเชื่อ ว่ายังไม่ได้มาตรฐานเท่าที่ควร

ด้าน นายเนียน กอแก้ว เกษตรกร ต.กระสัง อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ กล่าวว่า ขอให้ทางภาครัฐได้ออกใบประทวนให้เร็วกว่านี้เพื่อที่จะนำไปขึ้นเงินกับ ธกส. เพราะนำข้าวมาเข้าร่วมโครงการวันนี้แต่ทางเจ้าหน้าที่ อคส.ได้เขียนใบนัดให้มารับใบประทวนในวันที่ 7 ธ.ค.นี้ ซึ่งเป็นระยะเวลานานถึง 12 วัน ทั้งที่ทางรัฐบาลกำหนดไว้ว่าจะให้ใบประทวนไม่เกิน 3 วันทำให้เกษตรกรต่างเดือดร้อนในการนำเงินไปใช้จ่ายในส่วนที่จำเป็นหลังเก็บ เกี่ยวจึงฝากให้รัฐบาลได้พิจารณาช่วยเหลือในกรณีดังกล่าวด้วย


ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต

Tags :

view