ราคาตลาดโลกวูบเหตุผู้ซื้อชะลอรอข้าวเวียดนาม
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"พาณิชย์"แจงราคาข้าวตกต่ำ เหตุตลาดโลกชะลอตัว ผู้ซื้อรอข้าวเวียดนาม ขณะที่ตลาดตะวันออกกลางและแอฟริกามีปัญหา ฟิลิปปินส์ชะลอนำเข้า
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การปรับตัวลดลงของราคาข้าวภายในประเทศในขณะนี้ เป็นเพียงการตอบสนองต่อภาวะตลาดโลกที่มีการชะลอตัว เนื่องจากพ่อค้าและผู้นำเข้าส่วนใหญ่ ต่างรอซื้อข้าวของเวียดนาม ที่จะออกสู่ตลาดปริมาณกว่า 12 ล้านตันในเดือนมี.ค.-พ.ค.นี้ และยังมีปัญหาทางการเมืองในภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกา ที่ได้ส่งผลกระทบต่อการนำเข้าข้าว รวมทั้งการที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าข้าวรายใหญ่ยังคงชะลอการนำเข้าข้าว ไม่ได้มีสาเหตุมาจากการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาลแต่อย่างใด เพราะการระบายข้าว ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ราคาข้าวตกต่ำ แต่ยังสามารถขายข้าวได้ราคาดีอยู่ในระดับราคาใกล้เคียงกับราคาตลาดด้วย "คาดว่าสถานการณ์ชะลอตัวของตลาดข้าวโลกดังกล่าว จะเกิดขึ้นเพียงระยะสั้นประมาณ 1-2 เดือนเท่านั้น เมื่อผ่านช่วงเวลาดังกล่าวไปแล้ว สถานการณ์ตลาดข้าวโลกโดยรวมจะกลับสู่ภาวะปกติและมีทิศทางที่ดีอย่างต่อ เนื่องจนถึงสิ้นปี โดยมั่นใจว่าราคาข้าวในประเทศมีแนวโน้มจะปรับตัวเพิ่มขึ้นภายในเดือน พ.ค.นี้"นางพรทิวา กล่าว สำหรับการส่งออกข้าวตั้งแต่ม.ค.-15 มี.ค.ที่ผ่านมา ไทยได้ส่งออกข้าวไปแล้ว 2.46 ล้านตัน มูลค่า 42,661 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2552 ปริมาณ 1.68 ล้านตัน มูลค่า 31,952 ล้านบาท ปี2553 ปริมาณ 1.75 ล้านตัน มูลค่า 35,517 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากที่ได้มีการระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลในช่วงปีที่ ผ่านมา ส่วนประเด็นการขายมันเส้นและแป้งมันสำปะหลัง ให้จีนที่ถูกกล่าวหาจากฝ่ายค้านนั้น ขอยืนยันว่า ไม่ได้ขายต่ำกว่าความเป็นจริง เพราะราคาที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติให้ขายเป็นราคาหน้าคลังสินค้า ไม่ใช่ราคาส่งออก (FOB) และผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ที่ขายเก็บรักษาไว้นานกว่า 2 ปี คุณภาพจึงเสื่อมลง รวมทั้งผู้ซื้อมีภาระค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงคุณภาพ ค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายก่อนส่งออก ดังนั้น ราคาที่ขายหน้าคลังสินค้า เมื่อรวมค่าใช้จ่ายต่างๆ จึงมีราคาใกล้เคียงกับราคาส่งออก FOB ส่วนกรณีมีการตรวจสอบว่าเป็นรัฐวิสาหกิจจากจีนหรือไม่นั้น ได้มีการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงการต่างประเทศ หน่วยงานของพาณิชย์ในต่างประเทศ ซึ่งเมื่อได้รับการยืนยันว่าเป็นรัฐวิสาหกิจของจีน ขณะที่การดูแลราคาสินค้า ได้มีการบริหารจัดการให้สินค้ามีเพียงพอ ไม่ขาดแคลน โดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกฝ่าย คือ เกษตรกร ประชาชนผู้บริโภค และผู้ประกอบการ ส่วนที่มีสินค้าบางตัวราคาเพิ่มขึ้น เป็นการปรับเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัว และตามราคาวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งจากวัตถุดิบการเกษตร และวัตถุดิบที่นำเข้า แต่โดยภาพรวมราคาสินค้าไม่ได้ปรับเพิ่มสูงขึ้นจนกระทบกับประชาชน โดยในปี 2553 ที่ผ่านมา สามารถดูแลอัตราเงินเฟ้อให้อยู่ในระดับ 3.3% ได้ อย่างไรก็ตาม สินค้าที่มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นบางรายการ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง น้ำตาลทราย และน้ำมันปาล์ม เป็นสินค้าที่มีหน่วยงานอื่นดูแลโดยตรง ทั้งกระทรวงพลังงาน กระทรวงอุตสาหกรรม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงพาณิชย์ดูแลตรงปลายทาง แต่ก็ได้เข้าไปบริหารจัดการอย่างเต็มที่เพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน และดูแลด้านราคา เพื่อไม่กระทบกับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง "กรณีน้ำตาลทราย ที่ถูกกล่าวหาว่าดูแลไม่ได้ ปล่อยให้มีราคาแพง กระทรวงพาณิชย์ไม่ได้คุมสินค้าน้ำตาลทรายโดยตรง ดูแค่ปลายทาง แต่ก็ได้มีการบริหารจัดการในช่วงที่มีปัญหาตึงตัวและขาดแคลน โดยที่ผ่านมา ได้ขอโควตาน้ำตาลทราย 1 ล้านกระสอบมาเพื่อบริหารจัดการเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับตลาด ซึ่งได้ช่วยบรรเทาภาวะความตึงตัวได้ในระดับหนึ่ง ปัจจุบันได้ระบายออกไปเกือบหมด เหลือเพียงแค่ 57,814 กระสอบที่ยังไม่ได้เบิกจ่าย โดยจะนำไปกระจายเพื่อแก้ไขปัญหาการตึงตัวต่อไป"นางพรทิวา กล่าว นางพรทิวา กล่าวว่า ส่วนสินค้าที่กำลังจะขอปรับขึ้นราคาเข้ามายังกระทรวงพาณิชย์ เช่น นม น้ำมันถั่วเหลือง เหล็ก และปุ๋ยเคมี เป็นเพราะต้นทุนสูงขึ้น โดยในการปรับขึ้นราคา กระทรวงพาณิชย์จะดูแลให้กระทบกับผู้บริโภคน้อยที่สุด