จาก เดลินิวส์ออนไลน์
นายจรูญ พจน์สุนทร ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 14 กรมชลประทาน เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนว่า ปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ 2 แห่งมีปริมาณน้ำที่น้อยมาก เนื่องจากฝนที่ตกส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ท้ายเขื่อน โดยขณะนี้เขื่อนแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี มีปริมาณน้ำ 255 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเป็นปริมาณน้ำที่ใช้งานได้เพียง 188 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือคิดเป็นร้อยละ 26 ของปริมาณความจุเก็บกักเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีปริมาณน้ำถึง 580 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 82 ของปริมาณความจุ และถือว่ามีปริมาณน้ำน้อยที่สุด นับตั้งแต่การก่อสร้างเขื่อนแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการเมื่อปี 2509
ส่วนเขื่อนปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ขณะนี้มีปริมาณน้ำเพียง 96 ล้านลูกบาศก์เมตร จากความจุเก็บกัก 445 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นปริมาณน้ำที่ใช้งานได้ 36 ล้านลูกบาศก์เมตรหรือร้อยละ 10 ของปริมาณความจุเก็บกักเท่านั้น และถือว่าเป็นอีกเขื่อนที่มีปริมาณน้ำน้อยมากที่สุดตั้งแต่สร้างเขื่อนแล้ว เสร็จและเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการในปี 2525
สำหรับการวางแผนบริหารจัดการน้ำนั้น กรมชลประทาน โดยโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเพชรบุรีและโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษา ปราณบุรี ได้ประชุมร่วมกับกลุ่มผู้ใช้น้ำและส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ได้มีมติให้งดการปลูกพืชฤดูแล้ง โดยเฉพาะการทำนาปรังทั้งหมดในพื้นที่ชลประทาน เนื่องจากปริมาณน้ำที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ประกอบกับต้องสำรองน้ำปริมาณดังกล่าวไว้ใช้เพื่อการอุปโภคบริโภค และการรักษาระบบนิเวศของลำน้ำในช่วงฤดูแล้งนี้ ซึ่งหากปล่อยให้เกษตรกรปลูกพืชฤดูแล้งจะต้องได้รับความเสียหายอย่างแน่นอน
ทั้งนี้พื้นที่ชลประทานของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาเพชรบุรีมีทั้งหมด 532,050 ไร่ โดยเป็นพื้นที่ชลประทานในฤดูแล้งประมาณ 301,858 ไร่ เมื่อปี 2553 มีการปลูกพืชฤดูแล้งไป 150,000 ไร่ ส่วนพื้นที่ชลประทานของโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษาปราณบุรี มีทั้งหมด 235,750 ไร่ เป็นพื้นที่ชลประทานในฤดูแล้งประมาณ 150,488 ไร่ เมื่อปี 2553 มีการปลูกพืชฤดูแล้งไป 50,000 ไร่ อย่างไรก็ตาม สำหรับน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะน้ำเพื่อทำการประปานั้น กรมชลประทานจะบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอจนถึงฤดูฝนปี 2554 นี้.