สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

นักลงทุนรายใหญ่แห่กว้านซื้อดันกล้ายางราคาพุ่ง

นักลงทุนรายใหญ่แห่กว้านซื้อดันกล้ายางราคาพุ่ง

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

นักลงทุนรายใหญ่กว้านซื้อกล้ายางรับโครงการขยายพื้นที่เพาะปลูก 8 แสนไร่ ส่งผลราคาพุ่งต้นละ 40-50 บาท
 นายอุทัย สอนหลักทรัพย์ ประธานสถาบันเกษตรกรชาวสวนยางแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่าในการประชุมคณะกรรมการสำนักงานกองทุนการทำสวนยาง(สกย.)ในวันที่4 ก.พ. นี้จะเสนอให้พิจารณาแนวทางการจัดหาต้นกล้ายางในโครงการขยายพื้นที่ปลูกยาง จำนวน 8 แสนไร่ เนื่องจากปัจจุบันราคาสูงมากถึงต้นละ 40-50 บาท ขณะที่เงื่อนไขให้สกย.จัดหากล้ายางในราคาต้นละ 18 บาท

 "ไม่มีความเป็นไปได้ที่จะจัดหาต้นกล้า แม้เกษตรกรบางส่วนพร้อมจ่ายส่วนต่างของราคาเอง เนื่องจากต้นกล้าส่วนใหญ่ถูกนักลงทุนรายใหญ่วางเงินมัดจำเพื่อรับซื้อกล้า ยางตั้งแต่ต้นฤดูแล้ว ในราคาต้นละ 30 บาท หรือประมาณ 60- 70% ของราคาจริง อีกทั้งมีผู้ประกอบการในลาวข้ามมาซื้อต้นกล้าในไทยในราคาที่สูง"

 เขากล่าวว่าการเพาะต้นกล้ายางในปัจจุบันยังขาดแปลงกิ่งตาทำให้ผล ผลิตกล้ายางที่ออกสู่ตลาดไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าโครงการขยายพื้นที่ 8 แสนไร่นั้น เมื่อสิ้นโครงการจะมีพื้นที่ขยายเกิน 1 ล้านไร่

 ดังนั้น แนวโน้มราคาต้นกล้ายางภายใน 3 ปีนี้ จะไม่มีทางตกต่ำกว่าต้นละ 50 บาท ในขณะที่จะมีกล้ายางปลอมหรือยางตาสอยออกสู่ตลาดมากขึ้น ซึ่งเกษตรกรและกรมวิชาการเกษตรต้องระมัดระวังเรื่องนี้ เพราะหากนำยางตาสอยไปปลูก แม้ยางจะโตเร็วแต่เปลือกจะบาง ให้น้ำยางไม่ดี และต้องใส่ปุ๋ยเพื่อบำรุงต้นยางมากกว่าเดิม ผลตอบแทนที่ได้รับจะไม่คุมกับการลงทุน

 “ต้นกล้าที่แพงขึ้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะกรมวิชาการเกษตรกรเองมีการปรับ ราคาตอตาเขียวขึ้นเช่นกัน จากพุดละ 1.50 บาท เป็นพุดละ 3 บาท ทำให้กล้ายางของเอกชนขึ้นราคาตาม ประกอบกับเกษตรกรที่ขยายพื้นที่ปลูกจำนวนมากเพราะราคายางในตลาดจูงใจ ทำให้ต้นกล้าขาดตลาด แต่การขยายพื้นที่ปลูกจำนวนมากนี้จะไม่ส่งผลกระทบกับราคายางในอนาคต เพราะความต้องการใช้ของต่างประเทศยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าราคายางจะไม่ตกต่ำกว่ากิโลกรัมละ 100 บาทจากปัจจุบันมีราคากิโลกรัมละ 160 บาท“นายอุทัยกล่าว

 ด้านนายพนัส แพชนะ นักวิชาการเกษตร ชำนาญการพิเศษ ศูนย์วิจัยยางสุราษฎร์ธานี กล่าวว่าปริมาณความต้องการตอตาเขียวเพื่อนำไปผลิตต้นยางชำถุงปีนี้มีปริมาณ ความต้องการมากเกินกำลังที่ผู้ผลิตจะทำการผลิตส่งให้ผู้ผลิตยางชำถุงได้ทัน ตามที่กำหนดภายหลังจากการที่ภาครัฐตัดสินใจเดินหน้าโครงการยาง 8 แสนไร่ ส่งผลให้เกษตรกรและผู้สนใจทั่วไปหันมาปลูกยางพาราเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ผลิตกล้ายางเร่งระดมกว้านซื้อตอตาเขียวที่มีราคาสูงเป็น ประวัติการณ์ถึงตอละกว่า 15 บาทไปผลิตต้นยางชำถุง

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวานนี้(3 ก.พ.)นายโชชิ อารากาวา ประธานคณะกรรมการบริหารประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประธานบริดจสโตน คอร์ปอเรชั่น ประเทศญี่ปุ่น และที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ด้านการลงทุน ( Honorary Investment Advisor : HIA )ของสำนักงานส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี

             นายเกียรติ สิทธีอมร ประธานผู้แทนการค้าไทย กล่าวว่านายโชชิรับว่าแนวโน้มราคาน้ำมันและยางพาราที่ปรับสูงขึ้น กระทบต่อการผลิตยางรถยนต์ ในขณะที่นายกฯได้ย้ำนโยบายเพิ่มพื้นที่ปลูกยางพาราเพื่อรองรับความต้องการ ที่เพิ่มขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทบริดจสโตน (ประเทศไทย) มีมูลค่าการลงทุนในไทยสูงถึง 7 หมื่นล้านบาท และไทยถือเป็นศูนย์กลางการลงทุนของบริษัทฯที่สำคัญที่สุดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งในอีก 2-3 ปีข้างหน้า บริษัทจะลงทุนสร้างโรงงานเพิ่มสายผลิตยางรถยนต์เรเดียนที่จ.สระบุรี มีมูลค่าลงทุนกว่า 7 พันล้านบาท และตั้งเป้าผลิตยางรถยนต์เพิ่มขึ้นอีก 4.7 ล้านเส้นต่อปี

Tags :

view