จาก โพสต์ทูเดย์
ราคาน้ำตาลตลาดโลกพุ่ง 29.45 เซนต์ต่อปอนด์ เนื่องจากหลายประเทศผู้ผลิตประสบภัยธรรมชาติ ด้านที่ประชุมกบ.เคาะราคาอ้อยขั้นต้นปี 2553/2554 ที่ 945 บาทต่อตัน ต่ำกว่าปีก่อน เพราะค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น
นายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รมว.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาน้ำตาลทรายดิบตลาดโลกส่งมอบเดือนมี.ค. 2554 สูงถึง 29.45 เซนต์ต่อปอนด์ และส่งมอบเดือนก.ค. 2554 อยู่ที่ระดับ 27.38 เซนต์ต่อปอนด์ ถือเป็นราคาที่ค่อนข้างสูงและคาดว่าแนวโน้มราคาตลาดโลกจะทรงตัวในระดับดัง กล่าว เนื่องจากความต้องการของโลกยังเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่การผลิตหลายประเทศประสบปัญหาภัยธรรมชาติทั้งน้ำท่วม ภัยแล้ง ดังนั้นภาพรวมอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลอีก 1-2 ปีข้างหน้าจะยังมีแนวโน้มที่สดใส
สำหรับด้านนโยบายนั้นอยู่ระหว่างการหารือเพื่อทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าว เข้มแข็งโดยเฉพาะโครงสร้างราคา ที่กำลังศึกษาการทำราคาน้ำตาลแบบกึ่งลอยตัว โดยกำหนดราคาขั้นต่ำ เพื่อป้องกันน้ำตาลไหลออกจากประเทศหากราคาตลาดโลกสูง และเมื่อราคาตลาดโลกต่ำก็เป็นการป้องกันผลกระทบที่ชาวไร่อ้อยจะได้รับ
นายพงษ์เทพ จารุอำพรพรรณ รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย (สอน.) กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารกองทุนอ้อยและน้ำตาลทราย (กบ.)ว่า ที่ประชุมได้กำหนดราคาอ้อยขั้นต้นฤดูกาลผลิตปี 2553/2554 อยู่ที่ 945 บาทต่อตัน(จ่ายที่ 97.6% ของราคาเต็ม) คำนวณที่อัตราแลกเปลี่ยน 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ราคาน้ำตาลตลาดโลก 21 เซนต์ต่อปอนด์ ผลตอบแทนโรงงาน 404.97 บาทต่อตัน คาดการณ์ปริมาณน้ำตาลในฤดูกาลนี้ 69.12 ล้านกระสอบ ปริมาณอ้อย 65.9 ล้านตันอ้อย ซึ่งจะต้องทำประชาพิจารณ์ นำเข้าที่ประชุม กบ.และเสนอต่อคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาล (กอน.) อีกครั้ง
“จากการคำนวณต้นทุนราคาอ้อยของชาวไร่อ้อยเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 870 บาทต่อตันอ้อย ซึ่งหากประชาพิจารณ์ไม่ผ่านก็อยู่ที่นโยบายของ กบ.ที่จะใช้เงินกองทุนอ้อยและน้ำตาลทรายอุดหนุนหรือไม่ เพราะราคาอ้อยขั้นต้นในปีนี้ต่ำกว่าราคาอ้อยในปีที่แล้วที่อยู่ที่ระดับ 965 บาทต่อตัน เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนที่แข็งค่าขึ้น” นายพงษ์เทพ กล่าว
ขณะที่ราคาอ้อยขั้นสุดท้ายปี 2552/2553 กำหนดอยู่ที่ระดับ 999.71 บาทต่อตัน คำนวนที่ราคาน้ำตาลตลาดโลก 19 เซนต์ต่อปอนด์ ส่วนแบ่งโรงงาน 428.45 บาทต่อตัน มีปริมาณน้ำตาล 68 ล้านกระสอบ ปริมาณอ้อย 68 ล้านตัน
นอกจากนี้ ที่ประชุม ยังได้เห็นชอบให้กำหนดน้ำตาลเพื่อการบริโภคภายในประเทศ (โควตา ก.) ปี 2554 ที่ระดับ 25 ล้านกระสอบ โดยให้ข้อสังเกตว่า ถ้าหากภายในเดือนส.ค.2554 ปริมาณน้ำตาลโควตา ก.ที่กำหนดไว้ 25 ล้านกระสอบ มีปริมาณน้ำตาลเหลือค้างกระดานเป็นจำนวนมาห และราคาขายในขณะนั้นอยู่ในระดับปกติไม่ตึงตัว ก็จะให้โรงงานน้ำตาลทรายเสนอขอส่งออกน้ำตาลที่เหลืออยู่ได้
ทั้งนี้ การจัดสรรคน้ำตาลโควตาก ก. ที่ 25 ล้านกระสอบนั้น คำนวณจากการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ (จีดีพี) ที่ 7.5% อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มขยายตัว 28% ซึ่งปริมาณ 25 ล้านกระสอบจะครอบคลุมปริมาณการใช้น้ำตาลทั้งหมดนี้แล้ว
