สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ธุรกิจซีพีเอฟโตสวนบาทแข็ง เชื่อกำไรปีนี้ทะลุ 30%

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"ซีพีเอฟ" ยึด 3 หลักบริหารธุรกิจ ฝ่าวิกฤติเศรษฐกิจโลก-ค่าเงิน ดันรายได้และกำไรโตสวนกระแส มั่นใจยอดขายปีนี้เกิน180,000 ล้านบาท กำไรโต 30%
นัก ธุรกิจจำนวนมากกำลังวิตกกับเงินบาทที่แข็งค่าช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกต่างได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งค่า แต่สำหรับบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหารซีพีเอฟ ให้สัมภาษณ์พิเศษ "กรุงเทพธุรกิจ" ว่า การที่ค่าเงินแข็งค่าขึ้นทั้งภูมิภาคไม่ว่าจะเป็นประเทศมาเลเซีย ญี่ปุ่น หรือประเทศไทย ผู้ส่งออกที่ใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลักจะเสียเปรียบ แต่สำหรับซีพีเอฟไม่ได้รับผลกระทบส่วนนี้ เนื่องจากมีวัตถุดิบที่ต้องนำเข้ามีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของซีพีเอฟในปี 2553 จะยังเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
 นายอดิเรก กล่าวว่า ปัญหาเงินบาทแข็งค่ากระทบต่อซีพีเอฟน้อย มาก เพราะเรามีวัตถุดิบนำเข้าในสัดส่วนใกล้เคียงกับการส่งออก ทำให้เกิดความสมดุล ช่วงนี้หลายฝายโฟกัสที่เงินบาทแข็งค่า "แต่ผมว่าการทำธุรกิจเราต้องมอง 3 ส่วน นั่นหมายถึง ต้นทุน ราคาขายและค่าเงิน"
บาทแข็งไม่กระทบยึด 3 ส่วนบริหารธุรกิจ
 ใน ส่วนของราคาขายต้องดูว่าภาวะตลาดเป็นอย่างไร ปรับราคาขายสินค้าได้หรือไม่ ถ้าปรับราคาขายได้เงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ก็ไม่น่าจะได้รับผลกระทบอะไร ส่วนต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจะมีผลต่อผลกำไร การทำธุรกิจต้องมองต้นทุนควบคู่กับราคาขายหากควบคุมได้เป็นสิ่งที่ดี และอัตราแลกเปลี่ยน เมื่อพูดถึงอัตราแลกเปลี่ยน จะมองเรื่องค่าเงินบาทอย่างเดียวไม่ได้ ต้องพิจารณาว่าราคาขาย มีการปรับขึ้นด้วยหรือไม่ ถ้าเงินบาทอ่อนค่าและราคาขายไม่ดีจะส่งผลให้ขาดทุน แต่ถ้าต้นทุนลดลงและขายในราคาเดิมก็จะได้กำไร หรือราคาเท่าเดิมแต่ต้นทุนเท่าเดิมก็อาจขาดทุน  ฉะนั้นการทำธุรกิจต้องมองปัจจัยทั้ง 3 ส่วนประกอบกัน แต่คนส่วนใหญ่จะมองแค่เรื่องค่าเงินบาท
 สำหรับซีพีเอฟ เราตื่นตัวกับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนมานานแล้ว ที่ผ่านมาได้ให้สถาบันการเงินทั้งในและต่างประเทศ มาให้ข้อมูลกับฝ่ายบริหารทุกๆ สัปดาห์เพื่อให้รู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ หรือเรื่องน่าตกใจสำหรับซีพีเอฟ แต่เป็นเพราะเราเตรียมการมาอย่างต่อเนื่อง "ผมว่าการบริหารจัดการธุรกิจของซีพีเอฟเรา เตรียมตัวมาดี โดยมองจาก 3 ส่วนเป็นหลักในการทำธุรกิจ เรามีความเชื่อมั่นใจสินค้าของเรา ที่สามารถปรับราคาขายได้ ค่าเงินบาทที่แข็งค่าจึงไม่ส่งผลกระทบแต่อย่างใด" นายอดิเรก กล่าว
ส่งออกกุ้งกระฉูดดันกำไรปีนี้โต 30%
 นายอดิเรก กล่าวว่า ผลจากการที่ซีพีเอฟตื่น ตัวกับการบริหารจัดการธุรกิจที่ผ่านมา เชื่อว่าปีนี้ยอดขายทั้งปีจะสูงกว่า 180,000 ล้านบาทได้ ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วนอัตราการเติบโตของกำไรน่าจะโตถึง 30% จากเดิมที่คาดว่าจะเติบโตได้ 20% มาจากการดำเนินธุรกิจที่มีความโดดเด่นและเป็นจุดแข็ง โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์กุ้งเติบโตได้ดี หลังจากผลผลิตกุ้งทั่วโลกลดลง ส่งผลดีต่อประเทศไทยรวมถึงซีพีเอฟที่ส่งออกได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้นำเข้าต่างหันมานำเข้ากุ้งจากไทย ซีพีเอฟถือเป็นผู้ส่งออกกุ้งรายใหญ่ที่สุดของประเทศ จึงได้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เงินบาทที่แข็งค่าจึงไม่มีผลกระทบกับซีพีเอฟ
 "ปี นี้เป็นปีทองสำหรับการส่งออกกุ้ง เพิ่มขึ้นทั้งประมาณและราคา โดยเฉพาะราคาปรับตัวสูงขึ้น 40-50% กุ้งของเราที่ส่งออกกลายเป็นพระเอกสำคัญที่สร้างรายได้ให้ซีพีเอฟไปแล้ว"
  ส่วนราคาสุกรและไก่ในประเทศแม้จะลดลง เนื่องจากเข้าช่วงเทศกาลกินเจ ปิดเทอมและยังอยู่ในฤดูฝน คาดว่าภายใน 2 เดือน การบริโภคน่าจะดีขึ้นและทำให้ราคาสุกรและไก่ปรับสูงขึ้น โดยสัดส่วนรายได้ของซีพีเอฟปัจจุบัน มาจากยอดขายในประเทศ 60% การส่งออก 15% และรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ 25% ภายใน 5 ปี จะเพิ่มรายได้จากการส่งออกสัดส่วน 20% และการลงทุนต่างประเทศสัดส่วน 40%
เสือปืนไวเร่งสต็อกสินค้าล่วงหน้า
 นาย อดิเรก กล่าวว่า การดำเนินธุรกิจยังมีสิ่งที่ต้องบริหารจัดการเพื่อ ธุรกิจสามารถแข่งขันได้ อย่างล่าสุด กระทรวงเกษตรของสหรัฐ ได้ประกาศว่าผลผลิตข้าวโพดได้รับความเสียหาย ส่งผลให้ราคาข้าวโพดในตลาดโลกปรับตัว 10% ซึ่งจะดึงให้ราคาถั่วเหลืองสูงขึ้นตามไปด้วย ดังนั้นกระทบกับผู้เลี้ยงสัตว์ทั่วโลกที่ต้องใช้วัตถุดิบราคาสูงขึ้น
 "ส่วนซีพีเอฟเรา ได้วางแผนบริการจัดการไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยสั่งซื้อกากถั่วเหลือล่วงหน้าไปถึงเดือน ก.ค.2554 จึงทำให้ได้ฐานราคาต่ำ ซึ่งวัตถุดิบที่สูงขึ้นส่งผลให้ผู้เลี้ยงสัตว์รายอื่นเดือดร้อนแต่ซีพีเอฟยังอยู่ได้ เพราะวางแผนมาดี" แต่ทั้งนี้ก็ต้องติดตามภาวะราคาวัตถุดิบ ราคาข้าวโพด ถั่วเหลืองและข้าวสาลีในตลาดโลกสูงขึ้น
 นายอดิเรก กล่าวว่า ซีพีเอฟยัง อยู่ระหว่างจัดเตรียมแผนธุรกิจในปี 2554 เพื่อกำหนดเป้าหมายทางธุรกิจ และจัดเตรียมงบประมาณลงทุน โดยปีหน้าคาดว่าการลงทุนในต่างประเทศจะใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีนี้  คาดว่าในอนาคตรายได้จากการลงทุนในต่างประเทศจะมีสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น
 โดย ขณะนี้มีแผนที่จะเพิ่มลงทุนในประเทศอินเดีย ฟิลิปปินส์และรัสเซีย รวมทั้งกำลังพิจารณาซื้อธุรกิจอาหารสัตว์และการเลี้ยงสัตว์ในบังกลาเทศและ กัมพูชา ซึ่งจะเป็นการลงทุนเกี่ยวกับสัตว์บก อาจได้ข้อสรุปการลงทุนภายในปี 2553
หวังประชากร 1.5 พันล้านคนสร้างรายได้
 นายอดิเรก ย้ำว่า การลงทุนของซีพีเอฟเรา ยังคงยึดที่จะเข้าไปลงทุนใน 10 ประเทศ ยังไม่มีแผนที่จะเพิ่มจำนวนประเทศเพราะบุคลากรไม่เพียงพอ และเห็นว่าตลาดที่มีอยู่ถือว่ามีขนาดใหญ่ โดยอินเดียมีประชากร 1,000 ล้านคน รัสเซีย 140 ล้านคน ฟิลิปปินส์เกือบ 100 ล้านคน เวียดนาม 80 ล้านคน บังกลาเทศ 150 ล้านคน ฉะนั้นประชากรกว่า 1,500 ล้านคน น่าจะเป็นกลุ่มเป้าหมายที่จะผลิตสินค้าป้อนได้เป็นอย่างดี ขณะที่ไทยมีประชากรกว่า 60 ล้านคน จึงทำให้โอกาสของซีพีเอฟ มีมากกับการเข้าไปลงทุนใน 10 ประเทศ
  ส่วนการลงทุนในทวีปแอฟริกาได้เริ่มที่ประเทศเคนยาเป็นประเทศแรก โดยเข้าไปลงทุนผลิตอาหารสัตว์และเลี้ยงไก่ คาดว่ารายได้ปี 2554 จากการลงทุนในต่างประเทศจะมีสัดส่วน 25% ของรายได้รวมทั้งหมด

Tags :

view