สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เปิดจม.หม่อมอุ๋ยถึงปูแนะตัดสินใจลาออกเพื่อประเทศ

เปิดจม-หม่อมอุ๋ยถึงปูแนะตัดสินใจลาออกเพื่อประเทศ

จาก โพสต์ทูเดย์

ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เขียนจม.เปิดผนึกถึงนายกฯ แนะตัดสินใจลาออกเพื่อประเทศ ชี้รัฐบาลบริหารล้มเหลว หากปล่อยไว้นาน จะเกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจประเทศรุนแรง

เมื่อวันที่ 6 ก.พ. ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โดยเรียกร้องให้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นรัฐบาลรักษาการ ซึ่งสามารถทำได้ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย เนื่องจากไม่สามารถบริหารประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป โดยรัฐธรรมนูญปัจจุบันมีช่องทางที่จะให้มีการแต่งตั้งคนกลางเข้ามาบริหารบ้านเมืองต่อไปได้

สำหรับเนื้อความในจดหมายเปิดผนึกมีดังนี้

จดหมายเปิดผนึก

6 กุมภาพันธ์ 2557

เรียน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)

ตามที่รัฐบาลของ ฯพณฯ ทำหน้าที่รักษาการบริหารประเทศมาตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2556 ปรากฏว่าในช่วงของการเป็นรัฐบาลรักษาการ รัฐบาลของ ฯพณฯ ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจที่สำคัญๆ ให้ลุล่วงไปได้มาโดยตลอด

ประการแรก รัฐบาลของ ฯพณฯ ไม่สามารถจ่ายเงินในการรับจำนำข้าวให้แก่ชาวนาได้ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลของ ฯพณฯ ประกาศเป็นนโยบายไว้ ปล่อยให้ชาวนาจำนวนมากที่นำข้าวมาจำนำต้องรอรับเงินเป็นเวลานานจนเกิดความทุกข์ร้อนกันทั่วไป

ทั้งนี้เพราะรัฐบาลของ ฯพณฯ ไม่สามารถจัดหาเงินมาให้ธนาคารเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ใช้ในการรับจำนำข้าวตามที่ได้วางแผนไว้ กล่าวคือ รัฐบาลของ ฯพณฯ ได้กำหนดวงเงินที่จะใช้ในการรับจำนำข้าวในปีการผลิต 2556/57 ไว้จำนวน 270,000 ล้านบาท โดยมีแผนที่จะให้ ธกส. ออกพันธบัตรกู้เงินโดยมีกระทรวงการคลังค้ำประกันในวงเงิน 140,000 ล้านบาท และกำหนดที่จะขายข้าวที่ได้จากการรับจำนำข้าวในปีก่อนเพื่อนำเงินมาคืนให้ ธกส. อีก 130,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการนี้

แต่ปรากฏว่าตั้งแต่เดือนตุลาคม 2556 ที่ประกาศแผนออกมาจนถึงวันที่ยุบสภา กระทรวงการคลังไม่ได้ดำเนินการให้ ธกส. ออกพันธบัตรกู้เงินจำนวน 140,000 ล้านบาทตามที่กำหนดไว้เลย ส่วนการขายข้าวเพื่อส่งเงินคืนให้ ธกส. นั้นในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวได้เงินส่ง ธกส.เพียง 40,000 ล้านบาท ซึ่งน้อยกว่า 130,000 ล้านบาทที่ตั้งใจไว้มาก ความล่าช้าของกระทรวงการคลังในการจัดการให้ ธกส. ออกพันธบัตร และการที่กระทรวงพาณิชย์ไม่มีความสามารถเพียงพอในการขายข้าวนี้เอง มีผลให้ ธกส. ขาดเงินสำหรับใช้รับจำนำข้าว เป็นความล้มเหลวในการดำเนินนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่เกิดจากความบกพร่องของรัฐบาลของ ฯพณฯ เองโดยแท้

ประการที่สอง เมื่อกลางเดือนตุลาคมรัฐบาลของ ฯพณฯ โดยกระทรวงพลังงานประกาศให้มีโครงการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์เพื่อขายให้แก่การไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าภูมิภาค โดยเชิญชวนให้เอกชนลงทุนติดตั้ง Solar Cell บนหลังคาบ้าน หรือ หลังคาอาคารธุรกิจ ซึ่งปรากฏว่ามีเอกชนจำนวนมากกว่า 1,000 หลังคาเรือน และบริษัทธุรกิจมากกว่า 200 แห่งตกลงเข้าร่วมโครงการ จนได้ทำสัญญาขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฯ เรียบร้อยแล้ว บัดนี้เอกชนได้ลงทุนติดตั้ง Solar Cell บนหลังคาเสร็จแล้วเป็นส่วนใหญ่และพร้อมที่จะเชื่อมต่อเพื่อขายไฟฟ้าเข้าเครือข่ายของการไฟฟ้าฯ แต่ปรากฏว่ากรมโรงงานอุตสาหกรรมระบุว่าการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคาของอาคารบ้านเรือนต่างๆ เข้าข่ายว่าเป็นการประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมประเภทหนึ่งซึ่งต้องได้รับใบอนุญาตโรงงานที่เรียกว่า รง.4 เสียก่อนจึงจะผลิตไฟฟ้าเพื่อขายได้ เห็นได้ชัดว่ากระทรวงอุตสาหกรรมมิได้สนใจที่จะให้ความร่วมมือแก่กระทรวงพลังงานเลยทั้งๆ ที่อยู่ในรัฐบาลของ ฯพณฯ ด้วยกัน ความขัดแย้งดังกล่าวนี้น่าจะแก้ไขให้หมดไปได้โดยไม่ยาก แต่รัฐบาลของ ฯพณฯ ก็ไม่สามารถขจัดปัญหาให้หมดไปได้ เป็นความล้มเหลวอีกเรื่องหนึ่งของรัฐบาลของ ฯพณฯ แม้จะเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยากเลย

ประการที่สาม เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2556 ฯพณฯ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ได้แถลงว่าพร้อมที่จะออกคำสั่งนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ประชาชนเลือกตัวแทนของสาขาอาชีพต่างๆ เข้าร่วมกันเป็นสภาปฏิรูปประเทศไทย ด้วยความตั้งใจที่จะสนองตอบความต้องการของกลุ่มผู้ประท้วงที่เรียกร้องให้มีสภาประชาชนเพื่อทำการปฏิรูปประเทศ แต่ปรากฏว่าองค์กรเอกชนต่างๆ ทุกองค์กรไม่ให้ความร่วมมือ เนื่องจากไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะสนับสนุนให้มีการปฏิรูปอย่างจริงจัง ต่างก็กลัวว่ารัฐบาลจะมีวาระซ่อนเร้น กลุ่มผู้ประท้วงก็ปฏิเสธความหวังดีของรัฐบาลทันที ด้วยไม่ไว้ใจว่ารัฐบาลจะทำอย่างจริงใจ เป็นข้อพิสูจน์ให้เห็นว่าประชาชนหมู่มากและองค์กรเอกชนต่างๆ ไม่มีความเชื่อถือและศรัทธาในตัว ฯพณฯ และในรัฐบาลของ ฯพณฯ เลย ทุกคนยังต้องการให้มีการปฏิรูปประเทศ แต่มีข้อแม้ว่ากระบวนการจัดตั้งสภาปฏิรูปและการเลือกสรรตัวแทนจะต้องเริ่มจากคนกลางที่ประชาชนเชื่อถือ ซึ่งจะต้องไม่ใช่รัฐบาลของ ฯพณฯ

การที่ ฯพณฯ และรัฐบาลของ ฯพณฯ ไม่ได้รบความเชื่อถือศรัทธาจากประชาชนหมู่มากเช่นนี้ เป็นผลจากการกระทำของ ฯพณฯ และรัฐบาลของ ฯพณฯ เองที่ไม่ได้บริหารประเทศชาติอย่างดีพอ ละเลยที่จะแก้ปัญหาของประเทศชาติ รวมทั้งละเลยที่จะกำจัดและป้องกันการฉ้อราษฎร์บังหลวงที่เกิดขึ้นแล้วและมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นต่อไป ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือโครงการจำนำข้าวซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่องบประมาณของชาติเป็นจำนวนสูงมาก เมื่อคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวเหลือกตามนโยบายของรัฐซึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีแต่งตั้งขึ้น สรุปผลการปิดบัญชีเสนอต่อ ฯพณฯ ว่าโครงการดังกล่าวมีผลขาดทุนมากกว่าแสนล้านบาท และเมื่อผู้เชี่ยวชาญภาคเอกชนอีกหลายคนได้ช่วยให้ข้อมูลและประมาณการเพิ่มเติมจนครบถ้วนว่ายอดขาดทุนในที่สุดเมื่อขายข้าวหมดจะเพิ่มเป็นหลายแสนล้าน พร้อมกับชี้ให้เห็นช่องโหว่ของโครงการที่เปิดโอกาสให้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงในจำนวนสูงมากเช่นกัน

ปรากฏว่าแทนที่ ฯพณฯ และรัฐบาลของ ฯพณฯ จะนำข้อมูลที่ได้รับไปพินิจพิจารณา และหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเพื่อให้รู้แน่ชัดในเรื่องขนาดของความเสียหายที่เกิดขึ้นและในเรื่องการฉ้อราษฏร์บังหลวงที่โจษขานกันทั่วไป รัฐบาลของ ฯพณฯ กลับปลดบุคคลที่ทำหน้าที่ประธานคณะอนุกรรมการปิดบัญชีฯ ซึ่งเป็นผู้เปิดเผยความเสียหายจำนวนสูงดังกล่าว ออกจากภาระหน้าที่เพื่อให้เรื่องเงียบไป นอกจากนี้รัฐบาลของ ฯพณฯ ท่านยังออกมาโต้แย้งด้วยการให้ข้อมูลที่บิดเบือนแก่ประชาชน ไม่ยอมทบทวนโครงการเพื่อหาวิธีใหม่ที่จะช่วยเหลือชาวนาโดยไม่เกิดความเสียหายมากเกินไปดังที่เกิดขึ้นแล้ว แต่กลับดึงดันใช้วิธีการรับจำนำแบบเดิมในฤดูกาลถัดไป โดยไม่คำนึงถึงผลเสียหายทางการเงินอันใหญ่หลวงที่จะตามมา และไม่สนใจว่าโครงการดังกล่าวเปิดโอกาสให้มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงมากเพียงใด เป็นการบริหารประเทศในลักษณะที่ลุแก่อำนาจอย่างยิ่ง ไม่สนใจฟังเสียงทักท้วงของผู้ใดเลย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ประชาชนหมู่มาก และองค์กรเอกชนที่สำคัญหมดความเชื่อถือและศรัทธาในตัว ฯพณฯ และในรัฐบาลของ ฯพณฯ

การขาดความเชื่อถือและศรัทธาในรัฐบาลของ ฯพณฯ มีผลให้รัฐบาลของ ฯพณฯ ไม่สามารถบริหารประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปได้ ดังเป็นที่ปรากฏแล้วว่าประชาชนจำนวนมากสงสัยว่าจะมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงในทุกๆ โครงการที่รัฐบาลของ ฯพณฯ ริเริ่ม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องโครงการบริหารจัดการน้ำหรือโครงการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานทั้งประเทศมูลค่า 2,000,000 ล้านบาท การขาดความเชื่อถือและศรัทธาในรัฐบาลของ ฯพณฯ นี้เองเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้โครงการต่างๆ ที่รองรับความเจริญเติบโตของเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้ยาก ไม่ว่ารัฐบาลของ ฯพณฯ จะชี้แจงอย่างไรประชาชนหมู่มากก็ยังเชื่อว่าจะมีการฉ้อราษฏร์บังหลวงในโครงการเหล่านี้

รัฐบาลที่ไม่สามารถปฏิบัติตามนโยบายของตนเองให้ลุล่วงไปได้เช่นในกรณีนโยบายรับจำนำข้าวและนโยบายผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ รัฐบาลที่ประชาชนหมู่มากและองค์กรเอกชนขาดความศรัทธาไม่เชื่อถือว่ามีความจริงใจและไม่ยอมร่วมมือในการริเริ่มของรัฐบาลแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่สนองตอบการเรียกร้องของประชาชนหมู่มากก็ตาม รัฐบาลที่ไม่สนใจในเรื่องที่กำลังเกิดความเสียหายทางการเงินของประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ปฏิเสธที่จะค้นหาความจริงในเรื่องการฉ้อราษฎร์บังหลวง และดำเนินนโยบายที่เสียหายนั้นต่อไปโดยไม่นำพาต่อความรู้สึกของประชาชน ทำให้ประชาชนหมดศรัทธา ตั้งข้อสงสัยว่าจะมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงในทุกๆ โครงการที่รัฐบาลริเริ่ม และแสดงให้เห็นชัดด้วยการประท้วงอย่างโจ่งแจ้งว่าไม่ต้องการให้รัฐบาลนั้นบริหารประเทศอีกต่อไป ถือได้ว่าเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลว ไม่อยู่ในสถานะที่จะบริหารประเทศชาติให้ก้าวหน้าไปได้อีกแล้ว ถ้าจำเป็นต้องรักษาการเพื่อรอให้เลือกตั้งเสร็จสมบูรณ์จนสามารถตั้งรัฐบาลใหม่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ก็คงจะไม่มีผลเสียต่อประเทศชาติมากนัก

แต่ผลการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา แสดงให้เห็นแล้วว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่เรียบร้อยเป็นอย่างมาก กลุ่มผู้ประท้วงขัดขวางได้สำเร็จหลายช่องทางเริ่มตั้งแต่ขัดขวางหลายช่องทางเริ่มตั้งแต่ขัดขวางการรับสมัครรับเลือกตั้ง การเก็บกักบัตรเลือกตั้ง จนถึงการปิดล้อมหน่วยเลือกตั้ง ผลการเลือกตั้งจึงได้จำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่มากพอที่จะเปิดประชุม และไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มเข้ามาบริหารประเทศได้จำเป็นต้องมีการเลือกตั้งเพิ่มเติมสำหรับส่วนที่ขาดอยู่

จากลักษณะของการประท้วงที่ผ่านมา เชื่อได้ว่าการเลือกตั้งเพิ่มเติมคงจะยืดเยื้อไปอีกนานด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรก ประชาชนที่ออกมาประท้วงจำนวนมากได้แสดงเจตนารมณ์แล้วว่าไม่ต้องการให้รัฐบาลจากพรรคการเมืองที่ ฯพณฯ สังกัดอยู่กลับเข้ามาบริหารประเทศอีก ย่อมจะตามขัดขวางการเลือกตั้งในลักษณะเดิมหรือในรูปแบบใหม่ไปเรื่อยๆ ประการที่สอง การเลือกตั้งเพิ่มเติมที่จะมีขึ้นสำหรับเขตและหน่วยเลือกตั้งที่ยังขาดอยู่ ซึ่งรวมถึง 28 เขตเลือกตั้งที่ไม่สามารถรับสมัครได้ตั้งแต่แรกนั้น ก็ยังมีความเสี่ยงสูงที่อาจถูกศาลรัฐธรรมนูญ หรือศาลปกครองสั่งให้การเลือกตั้งทั้งหมดเป็นโมฆะ เนื่องจากกฎหมายเลือกตั้งกำหนดให้การเลือกตั้งทุกเขตต้องกระทำพร้อมกัน เพื่อให้ผลการเลือกตั้งเป็นไปอย่างเที่ยงธรรม ยกเว้นในกรณีสุดวิสัย เช่น ในกรณีที่หน่วยเลือกตั้งถูกปิดล้อมเป็นต้น หากการเลือกตั้งถูกศาลสั่งให้เป็นโมฆะทั้งหมด ก็ต้องเริ่มกันใหม่ซึ่งจะใช้เวลานานอีกเพียงใดไม่มีผู้ใดคาดเดาได้

ในสถานการณ์ที่เหตุการณ์จะยืดเยื้อจนไม่มีกำหนดแน่ชัดเช่นนี้ หากรัฐบาลของ ฯพณฯ ซึ่งถือได้ว่าเป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวแล้ว เลือกที่จะเป็นรัฐบาลรักษาการต่อไป การประท้วงก็น่าจะรุนแรงขึ้นเนื่องจากประชาชนจำนวนมากไม่พอใจที่จะให้ ฯพณฯ และรัฐบาลของ ฯพณฯ บริหารประเทศต่อไปอีก

สถานการณ์เช่นนี้หากปล่อยไว้นานไป รังแต่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศรุนแรงขึ้น ธุรกิจท่องเที่ยวจะซบเซาลงไปอีก การลงทุนในโครงการต่างๆ เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจเกิดขึ้นไม่ได้เพราะประชาชนไม่ไว้ใจว่าจะไม่มีการโกงกิน ความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชนทั้งในประเทศและจากต่างประเทศจะตกต่ำลงจนถึงขั้นที่หยุดลงทุนเศรษฐกิจจะชะลอตัวลงเป็นอย่างมากจนอาจไม่ขยายตัวเลย อัตราการว่างงานที่เริ่มสูงขึ้นจะเพิ่มมากขึ้นไปอีก และที่สำคัญประชาชนจะรู้สึกสิ้นหวัง จนอาจเกิดความรุนแรงขึ้นมากกว่าที่ผ่านมาแล้วได้

แต่ถ้า ฯพณฯ และรัฐบาลของฯพณฯ เห็นแก่ประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ ตัดสินใจลาออกจากการเป็นรัฐบาลรักษาการ ซึ่งสามารถทำได้ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยเมื่อไม่สามารถบริหารประเทศให้ก้าวหน้าต่อไปได้ โดยรัฐธรรมนูญปัจจุบันมีช่องทางที่จะให้มีการแต่งตั้งคนกลางเข้ามาบริหารบ้านเมืองต่อไปได้ ผู้ประท้วงก็จะหยุดประท้วงทันที กิจการต่างๆ ในบ้านเมืองจะดำเนินได้ตามปกติทั้งงานของราชการและธุรกิจเอกชน รัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มจะสามารถเดินหน้าโครงการที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชนได้ทันที รัฐบาลใหม่ที่มีคนกลางซึ่งประชาชนยอมรับย่อมสามารถดึงดูดตัวแทนประชาชนจากทุกภาคส่วนให้เข้ามาร่วมกันหาทางปฏิรูปประเทศอย่างได้ผล เมื่อเหตุการณ์คืนสู่ความสงบแล้วกิจกรรมทางเศรษฐกิจทุกประเภทก็จะดำเนินได้ตามปกติ การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะกลับคืนมาและก้าวหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น

ผู้บริหารประเทศที่ดีเมื่อถึงจุดหนึ่งก็จะต้องตัดสินใจเพื่อประเทศชาติ ผมหวังว่าจดหมายเปิดผนึกของผมฉบับนี้จะช่วยให้ ฯพณฯ ตัดสินใจเพื่อหยุดยั้งความเสียหายที่เกิดแก่ประเทศชาติได้เสียที

ขอแสดงความนับถือ


“หม่อมอุ๋ย” แนะนายกฯ ลาออก ก่อนประเทศพัง ชี้ “จำนำข้าว” ล้มเหลว ควรบอกความจริงแก่ชาวนา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

“ม.ร.ว.ปรีดิยาธร” ออกจดหมายเปิดผนึกกระทุ้งนายกฯ ลาออก ชี้การบริหารประเทศล้มเหลว โดยเฉพาะโครงการจำนำข้าว และประชานิยมต่างๆ หากยังดันทุรังนั่งรักษาการ ยิ่งจะทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ ความเชื่อมั่นทรุด และเหตุการณ์เลวร้ายหนักขึ้น แนะเลิกหลอกชาวนา และบอกความจริงว่ารัฐไม่มีเงิน พร้อมฝากนายกฯ “ปู” ให้ดูประเทศอื่น เจอคนออกมาไล่เยอะขนาดนี้เค้าลาออกไปนานแล้ว ยอมรับที่ออกมาพูดในวันนี้เดี๋ยวก็โดนรัฐด่าเละ
       
       ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล (หม่อมอุ๋ย) อดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดแถลงข่าวที่สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย โดยระบุว่า หากรัฐบาลยังดื้อดึง เศรษฐกิจจะยิ่งแย่ ความเชื่อมั่นยิ่งตกต่ำ เศรษฐกิจอาจไม่ขยายตัว ประชาชนไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะไม่โกงกิน หากรัฐบาลยอมลาออก ซึ่งทำได้ตามรัฐธรรมนูญ เศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างราบรื่น ถ้าเป็นประเทศอื่นเจอคนออกมาเยอะขนาดนี้ ไม่พอใจขนาดนี้ เค้าลาออกไปนานแล้ว
       
       ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยอมรับว่า ตนเองได้ทำจดหมายเปิดผนึก 6 หน้ากระดาษ เพื่อส่งถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี โดยย้ำเตือนว่า รัฐบาลชุดนี้หากยังมีการรักษาการต่อไป เชื่อว่าจะทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก รวมไปถึงมีผลกระทบทำให้ภาวะเศรษฐกิจถดถอย นักท่องเที่ยวลดลง ความเชื่อมั่นนักลงทุนถึงขีดสุด และอัตราการว่างงานอาจเพิ่มสูงขึ้น
       
       ทั้งนี้ ตนเองมองว่า ช่วงที่ผ่านมาการเลือกตั้งก็ไม่ได้ตอบโจทย์ และมีความไม่เรียบร้อย และอาจจะต้องใช้ระยะเวลาอีกนาน ซึ่งหากรัฐบาลรักษาการยังคงรักษาการต่อไปจะทำให้สถานการณ์แย่ลงกว่าที่ผ่าน มา
       
       “แม้ประเทศไทยจะมีการเลือกตั้งเมื่อในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 ได้ แต่ยังพบว่าไม่สามารถแก้ไขปัญหาของประเทศ รวมทั้งเรียกความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจได้ ซึ่งเห็นได้จากเศรษฐกิจในภาพรวมยังคงชะลอตัว แนวโน้มการลงทุนขนาดใหญ่ของประเทศมีความเสี่ยงหยุดชะงัก ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งไทย และต่างประเทศลดลง และอัตราการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จึงมองว่าหากรัฐบาลยังรักษาการต่อไป จะทำให้เศรษฐกิจของไทยยิ่งแย่ลง”
       
       ดังนั้น นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้นำประเทศควรลาออกจากการเป็นรัฐบาลรักษาการ และเสียสละให้ประเทศชาติเดินหน้าไปได้ และนำคนกลางเข้ามาบริหารประเทศแทน เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับ และปฏิรูปประเทศร่วมกัน ให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้
       
       “การที่ผมออกมาวันนี้ เดี๋ยวก็โดนรัฐด่าเละ แต่ผมต้องออกมาชี้ว่ารัฐล้มเหลว และเพื่อจี้ให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ลาออกจากรักษาการนายกรัฐมนตรี ชี้เป็นรัฐบาลที่ล้มเหลวแล้ว”
       
       สำหรับในส่วนโครงการรับจำนำข้าว และโครงการประชานิมยมอื่นๆ ของรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา ตนเองถือว่า ประสบกับความล้มเหลว ซึ่งหากยังดึงดันต่อไปก็เชื่อว่าจะไม่ดีขึ้น และทำให้เหตุการณ์เลวร้ายลง
       
       “หากรัฐบาลนี้อยู่ ไม่สามารถเปลี่ยนนโบายรับจำนำข้าว และสุดท้ายหาเงินมาให้ชาวนาไม่ได้ เพราะรัฐบาลถึงทางตัน ปิดประตูการหาเงิน เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการ ต้องเปิดทางให้รัฐบาลใหม่เปลี่ยนนโยบาย แล้วบอกความจริงแก่ชาวนาว่าไม่มีเงินแล้ว”
       
       ทั้งนี้ การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ชาวนานั้น รัฐบาลรักษาการต้องเสี่ยงกู้เงินเพิ่ม ซึ่งอาจผิดกฎหมาย เพราะเป็นรัฐบาลรักษาการ ส่วนแนวทางที่ 2 ให้รัฐบาลจ่ายชดเชยส่วนต่างจากต้นทุนการผลิตให้ชาวนา สำหรับข้าวปริมาณ 450,000 ตัน ที่เข้ามาร่วมโครงการ หลังปิดโครงการปี 2555/2556 ที่สิ้นสุดโครงการเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2556


เจิมศักดิ์หนุนหม่อมอุ๋ยไล่ปูสับจำนำข้าวโกงเละ

จาก โพสต์ทูเดย์

เจิมศักดิ์ หนุน จม.เปิดผนึกหม่อมอุ๋ยไล่ปูชี้รัฐบาลไม่มีความน่าเชื่อถือแล้ว อัดรับจำนำข้าวโกงแหลกไม่มีเงินจ่ายชาวนา ธนาคารไม่กล้าปล่อยกู้

เมื่อวันที่ 6 ก.พ. นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง แนวร่วมกปปส. กล่าวผ่านสถานีโทรทัศน์บลูสกายหลัง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง ได้เขียนจดหมายเปิดผนึกถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม โดยเรียกร้องให้ตัดสินใจลาออกจากการเป็นรัฐบาลรักษาการว่า  รู้สึกเห็นด้วย 100% โดยเฉพาะประเด็นความล้มเหลวในการบริหารโครงการรับจำนำข้าว เท่าที่ได้ฟังตีความได้เลยว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กำลังจะบอกว่า รัฐบาลไม่มีความเชื่อมั่นแล้ว ชาวนาไม่ไว้ใจ หากยังรักษาการอยู่เศรษฐกิจจะตกต่ำลงไปเรื่อยๆ และจะมีปัญหาตามมาอย่างหนักหน่วง การรับจำนำข้าวของรัฐบาล  ถือเป็นการต้มตุ๋นชาวนา และคนไทยทั้งประเทศ เพราะตอนนี้ไม่มีเงินมาจ่ายให้กับชาวนา

"ผมชอบการตอบคำถามของหม่อยอุ๋ย หลังจากที่ได้อ่านจดหมายเปิดผนึกแล้วที่ว่า เวลานี้บ้านเมืองต้องการหาคนที่เสียละ เมื่อรัฐบาลขาดความชอบธรรม และบริหารจัดการนโยบายล้มเหลว ก็ควรลาออกไป รัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีพอที่จะให้บ้านเมืองเดินต่อไปได้ หากเป็นผู้นำต่างประเทศทั่วโลกเจอสถานการณ์เช่นนี้ผู้นำจะลาออกไปแล้ว ไม่มีใครอยู่ต่อทั้งที่ขาดความน่าเชื่อถือ"นายเจิมศักดิ์ กล่าว

นายเจิมศักดิ์ กล่าววอีกว่า รัฐบาลทำโครงการรับจำนำข้าวมีการโกงมหาศาลเมื่อไม่มีเงินจ่ายให้ชาวนา จึงไปขอกู้ที่ธนาคารธกส.ก่อน แต่ธกส.บอกว่าจะเอาเงินที่ไหนมาให้เพราะไม่มีเงิน  รัฐบาลก็กลัวว่าประชาชนจะรู้ทัน คนแห่จะไปถอนเงินจากธนาคาร เมื่อไม่ได้ก็ไปของกู้กับธนาคารออมสิน พนักงานของธนาคารก็บอกว่าไม่ได้ ก็มาแนวใหม่ไปออกพันธบัตรรัฐบาล เพื่อขายให้ธนาคารพาณิชย์ แต่ก็ไม่มีใคยอมซื้อเพราะโครงการข้าวกระฉ่อนไปทั่วโลก คนรับรู้มีการโกงมโหฬาร ธนาคารก็กลับมาฉุกคิดว่า จะไปส่งเสริมคนโกงหรือไม่ หลักการปล่อยกู้ของธนาคารต้องประเมินความสำเร็จของโครงการ แต่สองปีที่ผ่านมาถือว่าแย่มาก

ขณะเดียวกันถามต่อว่า กฏหมายเปิดช่องให้กู้ได้หรือไม่ จะเห็นว่ารัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลชั่วคราว จะมีความรับผิดชอบมากแค่ไหน และรัฐธรรมนูญก็ห้ามไม่ให้รัฐบาลรักษาการไปดำเนินการมีผลผูกพันไปถึงรัฐบาลชุดใหม่ ดังนั้น หากธนาคารให้กู้ถือว่าเป็นโมฆะ ประชาชนเอาเงินไปฝากธนาคารก็ไม่อยากให้ธนาคารเอาเงินไปปล่อยกู้แล้ววันนี้ก็มีข่าวอีกแล้วว่าจะไปกู้ธนาคารออมสิน

ด้านนายวิชัย  ศรีประเสิรฐ  นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่าสองปีที่ผ่านมารัฐบาลขายข้าวไม่ออก เพราะเงินไปลงทุนประมาณ 760,000 ล้านบาท ไปจำนำข้าว แต่กลับมีเงินไปคืนธนาคารได้มากสุดก็ 160,000 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าการลงทุนทุก 100 บาทของรัฐบาล จะสามารถนำเงินไปคืนธนาคารได้แค่ 21 บาท  ก็แปลว่า "ถังแตกแน่นอน"  ดังนั้นการทำสัญญาเอ็มโอยูกับประเทศจีน จึงเห็นได้ชัดว่า รัฐบาลจะต้องยอมขาดทุน เพื่อให้จีนยอมซื้อขายไทยให้ได้

"2 ปีก็เห็นชัดเจนว่า รัฐบาลตั้งราคาสูงเกินไป  ขายไม่ออก  แล้วเรื่องที่เลวร้ายที่สุดก็คือรัฐบาลเอาข้าวที่มีอยู่ทำ แล้วพ่อค้าถึงจะไปส่งออกอีกที ทั้งประเทศรัฐบาลซื้อข้าวไป ปีที่แล้ว 13 ล้านตัน  ปีที่สองก็ 13 ล้านตัน  เรารู้อยู่ว่า  การส่งออกข้าวไทยไม่เคยถึง 11 ล้านตัน  1 ปีรัฐบาลซื้อข้าวซื้อไปหมดแล้ว ไม่มีเหลือ สาเหตุที่เราส่งออกเราส่งได้แค่  11 ล้านตัน  เนื่องจากว่า  รัฐบาลปล่อยข้าวออกมา  เมื่อรัฐบาลปล่อยข้าวออกมาท่านก็ขายให้เรา  ถ้าไม่ถูกเราก็ส่งออกไม่ได้  เขาไปขายในต่างประเทศแพงขึ้นอีกนิดหนึ่ง  ปีที่แล้วเราขายข้าวไปต่างประเทศได้กิโลละ 20 บาท  รัฐบาลไปขายที่จีนเมื่อไหร่เราไม่รู้ 

แต่นายแพทย์วรงค์  เดชกิจวิกรม  สส.พรรคประชาธิปัตย์  บอกว่า  มีบางส่วนมาขายเหลือกิโลละ 7.70 สต.แล้วเรารู้ว่าต้นทุนที่จำนำข้าวไป  รวมทั้งค่าดำเนินโครงการ รวมแล้วกิโลละ 28 บาทมันไม่มีทางที่รัฐบาลจะขายแล้วได้กำไรไม่มีทางเลย มีแต่ขาดทุนมากกับขาดทุนน้อย  ถ้าเขาขายเหลือ 5.70 สต.  แล้วใน 2 ปีประมาณ 16.7 ล้าน  20 ล้านตัน  เขาจะต้องขาดทุนประมาณ 6 แสนล้าน  แต่ถ้าถามว่า  เขาขายกิโลละ 12 บาท  ซึ่งรัฐบาลพูดออกมาว่าขายไปได้แค่ 11 ล้านตัน ตอนนั้นแค่แสนสี่หมื่นล้าน  แล้วหารออกมา 2 บาท  ถ้าเขาขายในลักษณะ 12 บาท  จะต้องขาดทุน 2 ปี  ตั้ง 4 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งตรงกับตัวเลขที่ม.ร.ว.ปรีดียาธรออกมาเปิดเผย


“โต้ง” แถสีข้างถลอก เบี้ยวจำนำข้าวโทษฝ่ายค้าน-ยัดข้อหา “อุ๋ย” ไม่ยึดมั่น ปชต.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

รองนายกฯ-รมว.คลังโกหกสีขาว โพสต์เฟซบุ๊กโต้ “ปรีดียาธร” แบบลูกไม้เดิมๆ ซัดวิพากษ์จำนำข้าวแผ่นเสียงตกร่อง โว 4 ฤดูกาลที่ผ่านมาจ่ายได้ไม่มีเบี้ยว มารอบนี้โทษฝ่ายค้านลาออกยกพรรค ยึดคลัง-สำนักงบฯ ต้องยุบสภาทำตามกฎหมาย โวข้าวในสต๊อกมีมูลค่าในตัวเอง ฉวยโอกาสตราหน้าละเลยการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย หลังเสนอแนวทางปฏิรูปประเทศ
       
       วันนี้ (6 ก.พ.) เฟซบุ๊กของนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง โพสต์ข้อความ จดหมายเปิดผนึกถึง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง สืบเนื่องจาก ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้ทำจดหมายเปิดผนึก ถึงนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 6 ก.พ. ว่า หลักคิด และการอธิบายความในปัญหาต่างๆ ในจดหมายเปิดผนึกเป็นข้อมูลที่รับรู้ และรับทราบโดยทั่วไป ทั้งในเวทีระบบรัฐสภา ที่มีการอภิปรายไม่ไว้วางใจต่อรัฐบาล และมีการชี้แจงเสร็จสิ้นแล้ว รวมถึงเป็นข้อมูลที่มีการพูดจากัน ทั้งก่อนและหลังที่รัฐบาลได้ยุบสภา อีกทั้งเมื่อมีการชุมนุมก็ได้มีการนำข้อมูลที่ ม.ร.ว.ปรีดียาธร นำมาเผยแพร่ เวทีผู้ชุมนุมโดยกล่าวหาเป็นรายวัน เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง ซึ่ง ณ วันนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ก็กลับนำข้อมูลเดิมมานำเสนอซ้ำอีก ในลักษณะแผ่นเสียงตกร่อง ทั้งสิ่งที่นำเสนอนั้น มิใช่ข้อคิดเห็น หรือข้อมูลใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และต่อสถานะของรัฐบาลในปัจจุบัน ซึ่ง ม.ร.ว.ปรีดียาธร ในฐานะอดีตรองนายกรัฐมนตรีสายเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในรัฐบาลยุคหลังรัฐประหาร กันยายน พ.ศ. 2549 ได้เคยออกมาตรการควบคุมเงินทุนไหลออกจนตลาดหุ้นล่มถล่มทลายมาแล้ว ทราบดีว่า รัฐบาลนี้ได้ตัดสินใจคืนอำนาจให้กับประชาชนเพื่อตัดสินใจทางการเมืองในฐานะ เจ้าของอำนาจอธิปไตยในการกำหนดอนาคตของประเทศโดยปราศจากการแทรกแซงหรือครอบ งำทางความคิด ไม่ว่าจะเป็นโดยบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ตาม เพื่อให้สาธารณะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ผมขอถือโอกาสชี้แจงทำความเข้าใจในประเด็นที่เกี่ยวข้อง ดังนี้
       
       โครงการรับจำนำข้าว ดำเนินการตั้งแต่เดือนตุลาคม ปี 2554 ต่อเนื่องมา 4 ฤดูการผลิต คือ 2554/55 (2) นาปี 2555/56 (3) นาปี 2555/56 และ (4) นาปรัง 2556/57 สามารถจ่ายเงินค่ารับจำนำแก่ชาวนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นจำนวนเงินกว่า 6 แสนล้านบาท จนมาถึงฤดูกาลนาปี 2556/57 ซึ่งได้รับอนุมัติให้ดำเนินโครงการในวันที่ 3 กันยายน 2556 และรับจำนำมาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2556 สามารถช่วยจ่ายค่ารับจำนำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงต้นฤดูกาลและได้จ่ายเงินค่ารับจำนำไปแล้วเป็นจำนวนกว่า 6 หมื่นล้านบาท โดยไม่ได้ล่าช้า แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดจากฝ่ายค้านโดยทำให้การอนุมัติใช้งบ ประมาณประจำปีล่าช้า การบุกยึดกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ และ ส.ส. ฝ่ายค้านลาออกยกพรรค ซึ่งนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎรทำให้รัฐบาลต้องปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมาย ในการจัดหาเงินเพิ่มขึ้น และมีขบวนการในการข่มขู่ทั้งสถาบันการเงินและส่วนราชการที่ทำให้การจัดหา เงินมีความล่าช้าแต่กระทรวงการคลังยังคงเดินหน้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามมติ คณะรัฐมนตรี และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและรอบคอบ
       
       ต่อประเด็นที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ ยกเรื่องคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว มากล่าวหา นั้นไม่เป็นธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริงนั้น สิ่งที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ รวมทั้งกลุ่มผู้โจมตีโครงการนี้มิได้พูดถึงเลยคือมูลค่าของข้าวที่อยู่ใน สต๊อก ซึ่งมีมูลค่าอยู่ในตัวเอง รวมทั้งส่วนต่างที่ขาดหายไปนั้นแท้จริงแล้วอยู่ในมือชาวนา
       
       สำหรับนโยบายพลังงานทางเลือก ตามยุทธศาสตร์พลังงาน (โครงการโซลาร์เซล) เป็นนโยบายที่ดำเนินการต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล ซึ่ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่า ขั้นตอน กระบวนการในการดำเนินนโยบายนี้นั้น เกี่ยวข้องกับหน่วยงานหลายหน่วยงาน ทำให้มีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงานซึ่งท่านก็น่าจะเคยพบปัญหานี้มาก่อนใน สมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลที่ผ่านมา โดยเฉพาะขั้นตอนในระดับปฏิบัติในการออกใบอนุญาต รง.๔ ซึ่งรัฐบาลนี้ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้มีการจัดประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ เมื่อเดือนตุลาคม 2556 ที่ผ่านมานั้น ได้พยายามแก้ไขปัญหาการออกใบอนุญาตดังกล่าว โดยการขอยกเว้นจากกระทรวงอุตสาหกรรม แต่จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ จึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการ
       
       ในประเด็นการปฏิรูปประเทศ นั้น มิได้เป็นปัญหาในการสร้างกระบวนการในการมีส่วนร่วมระหว่างประชาชน สถาบัน องค์กร ต่างๆ หรือการยอมรับ รวมทั้งปัญหาความเชื่อมั่นต่อประเด็นการปฏิรูปการเมือง ตามที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ กล่าวอ้าง แต่แท้จริงแล้ว ในเรื่องนี้ เป็นประเด็นที่จำเป็นต้องทำความเข้าใจว่าการปฏิรูปการเมือง สามารถดำเนินการคู่ขนานพร้อมไปกับการเลือกตั้ง โดยที่ไม่ต้อง “แช่แข็งประเทศ” อยู่กับการปฏิรูปการเมือง เพราะปัญหาของประเทศนั้น มีหลายมิติ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจมีลักษณะเป็นพลวัตรที่ไม่หยุดนิ่ง จำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเพื่อให้การบริหารราชการเป็นไปอย่างต่อ เนื่อง และในตอนนี้ ประเทศไทยได้ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งจากความสำเร็จในการจัดการเลือกตั้ง ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ซึ่งมีหน่วยเลือกตั้งเกือบร้อยละ 90 ที่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ และมีประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งถึงกว่า 20 ล้านคน แม้ว่าการยังมีหลายพื้นที่ที่ยังจัดการเลือกตั้งไม่ได้ แต่เชื่อว่าในท้ายที่สุด กกต. รวมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคมจะร่วมมือกันช่วยประคับประคองรักษาระบอบประชาธิปไตยเพื่อให้ สามารถจัดการเลือกตั้งได้จนครบทุกเขต การที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ ยังยึดติดอยู่กับประเด็นเดิม ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกับผู้ชุมนุมในลักษณะที่คล้ายจะเป็นแนวร่วม ด้วยท่าทีที่สิ้นหวังต่อระบอบประชาธิปไตยและการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนนั้น ไม่ต่างจากการไม่ให้ความเคารพต่อเจตนารมณ์ของประชาชนทั้ง 20 ล้านคนที่ออกมาเลือกตั้ง ที่อดทนและยืนหยัดอยู่ข้างหลักการประชาธิปไตย
       
       สุดท้ายนี้ การที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร รวมทั้งผู้ชุมนุมที่มีข้อเรียกร้องในลักษณะเดียวกันคือให้นายกรัฐมนตรีลาออก จากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้มีคนกลางมาดำเนินการปฏิรูป ตลอดจนบริหารประเทศ นั้น เห็นได้ชัดว่า แนวคิดดังกล่าวเป็นการละเลยการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนไม่คำนึงว่าการดำรงอยู่ของรัฐบาล และนายกรัฐมนตรี นั้น จะเป็นหลักประกันของการคงอยู่ซึ่งวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยตามบทบัญญัติรัฐ ธรรมนูญ ทั้งยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมโลกว่าประเทศไทยมีระบอบการเมืองการ ปกครองที่เข้มแข็ง พลเมืองมีความเท่าเทียมกันภายใต้ระบอบประชาธิปไตย มีความอดทนพร้อมที่จะพัฒนาการเมือง การปกครองให้เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างสมบูรณ์ยิ่ง ขึ้น


“กิตติรัตน์” โพสต์จดหมายเปิดผนึกโต้ “หม่อมอุ๋ย” อัดใช้ข้อมูลเดิม นำเสนอซ้ำแบบแผ่นเสียงตกร่อง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

“กิตติรัตน์” โพสต์จดหมายเปิดผนึกถึง “หม่อมอุ๋ย” ยืนยันจำนำข้าวมีประสิทธิภาพ แต่มีปัญหาเพราะการเมือง อัดใช้ข้อมูลเดิมนำเสนอซ้ำอีก ในลักษณะแผ่นเสียงตกร่อง ทั้งสิ่งที่นำเสนอนั้นมิใช่ข้อคิด ความเห็น หรือข้อมูลใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ประเด็นเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และต่อสถานะของรัฐบาลในปัจจุบัน
       
       นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รักษาการรองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง โพสต์ข้อความผ่าน Facebook ส่วนตัว ถึงกรณีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึงนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2557 เห็นว่าเป็นข้อมูลที่รับรู้โดยทั่วไป และมีการชี้แจงเสร็จสิ้นแล้ว ทั้งก่อนและหลังที่รัฐบาลได้ยุบสภา ม.ร.ว.ปรีดิยาธร นำข้อมูลเดิมมาเสนอซ้ำอีกในลักษณะแผ่นเสียงตกร่อง มิใช่ข้อคิด ความเห็น หรือข้อมูลใหม่ และ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร อดีตรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลยุคหลังรัฐประหาร กันยายน พ.ศ.2549 ได้เคยออกมาตรการควบคุมเงินทุนไหลออกจนตลาดหุ้นล่มถล่มทลายมาแล้ว
       
       เพื่อให้สาธารณะได้รับรู้ข้อมูลที่ถูกต้อง ขอชี้แจงทำความเข้าใจเรื่องโครงการรับจำนำข้าวว่าสามารถจ่ายเงินค่ารับจำนำ แก่ชาวนาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นจำนวนเงินกว่า 600,000 ล้านบาท จนมาถึงฤดูกาลนาปี 2556/2557 สามารถช่วยจ่ายค่ารับจำนำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในช่วงต้นฤดูกาลและได้จ่ายเงินค่ารับจำนำไปแล้วเป็นจำนวนกว่า 60,000 ล้านบาท โดยไม่ได้ล่าช้า แต่ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดจากฝ่ายค้านโดยทำให้การอนุมัติใช้งบ ประมาณประจำปีล่าช้า การบุกยึดกระทรวงการคลัง และสำนักงบประมาณ และ ส.ส.ฝ่ายค้านลาออกยกพรรค ซึ่งนำไปสู่การยุบสภาผู้แทนราษฎร ทำให้รัฐบาลต้องปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายในการจัดหาเงินเพิ่มขึ้น และมีขบวนการในการข่มขู่ทั้งสถาบันการเงินและส่วนราชการที่ทำให้การจัดหา เงินมีความล่าช้า แต่กระทรวงการคลังยังคงเดินหน้าที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามมติคณะรัฐมนตรี และกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้องและรอบคอบ
       
       ส่วนประเด็นที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยกเรื่องคณะอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวมากล่าวหานั้นไม่เป็นธรรม ทั้งที่ในความเป็นจริง สิ่งที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร รวมทั้งกลุ่มผู้โจมตีโครงการนี้มิได้พูดถึงเลยคือ มูลค่าของข้าวที่อยู่ในสตอก ซึ่งมีมูลค่าอยู่ในตัวเอง รวมทั้งส่วนต่างที่ขาดหายไป แท้จริงแล้วอยู่ในมือชาวนา
       
       สำหรับโครงการโซลาร์เซลล์ เป็นนโยบายที่ดำเนินการต่อเนื่องมาหลายรัฐบาล ซึ่ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร น่าจะทราบดีอยู่แล้วว่าเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน ทำให้มีปัญหาอุปสรรคในการดำเนินงาน โดยเฉพาะขั้นตอนในการออกใบอนุญาต รง.4 ซึ่งรัฐบาลนี้ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยได้ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้พยายามแก้ไขปัญหาขอยกเว้นจากกระทรวงอุตสาหกรรม แต่จำเป็นต้องมีการแก้ไขกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องหลายฉบับ จึงต้องใช้เวลาในการดำเนินการ
       
       สำหรับประเด็นการปฏิรูปประเทศ มิได้เป็นปัญหาในการสร้างกระบวนการในการมีส่วนร่วมระหว่างประชาชน สถาบัน องค์กรต่างๆ หรือการยอมรับ รวมทั้งปัญหาความเชื่อมั่นต่อประเด็นการปฏิรูปการเมืองตามที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรฯ กล่าวอ้าง แต่ เป็นประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจว่าการปฏิรูปการเมืองสามารถดำเนินการคู่ขนาน พร้อมไปกับการเลือกตั้ง โดยที่ไม่ต้อง “แช่แข็งประเทศ” อยู่กับการปฏิรูปการเมือง เพราะปัญหาของประเทศมีหลายมิติ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเพื่อให้การ บริหารราชการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง
       
       ตอนนี้ประเทศไทยได้ก้าวไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่งจากความสำเร็จในการ จัดการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งมีหน่วยเลือกตั้งเกือบร้อยละ 90 ที่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ และมีประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้งถึงกว่า 20 ล้านคน แม้ว่าการยังมีหลายพื้นที่ที่ยังจัดการเลือกตั้งไม่ได้ แต่เชื่อว่าในท้ายที่สุด กกต. รวมทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม จะร่วมมือกันเพื่อให้จัดการเลือกตั้งได้จนครบทุกเขต การที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังยึดติดอยู่กับประเด็นเดิม ซึ่งเป็นประเด็นเดียวกับผู้ชุมนุม ไม่ต่างจากการไม่ให้ความเคารพต่อเจตนารมณ์ของประชาชนทั้ง 20 ล้านคนที่ออกมาเลือกตั้ง ที่อดทนและยืนหยัดอยู่ข้างหลักการประชาธิปไตย
       
       สุดท้ายนี้ การที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร รวมทั้งผู้ชุมนุมที่มีข้อเรียกร้องในลักษณะเดียวกันคือ ให้นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง เพื่อเปิดทางให้มีคนกลางมาดำเนินการปฏิรูป ตลอดจนบริหารประเทศ เห็นได้ชัดว่าละเลยการยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ตลอดจนไม่คำนึงว่าการดำรงอยู่ของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีจะเป็นหลักประกันของ การคงอยู่ซึ่งวิถีทางในระบอบประชาธิปไตยตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ทั้งยังช่วยสร้างความเชื่อมั่นต่อสังคมโลกว่าประเทศไทยมีระบอบการเมืองการ ปกครองที่เข้มแข็ง พลเมืองมีความเท่าเทียมกันภายใต้ระบอบประชาธิปไตย มีความอดทนพร้อมที่จะพัฒนาการเมือง การปกครองให้เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอย่างสมบูรณ์ยิ่ง ขึ้น


ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,ปุ๋ยมูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต

Tags : เปิดจม.หม่อมอุ๋ย ปู แนะตัดสินใจ ลาออกเพื่อประเทศ

view