สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

มาตรการกีดกันทางการค้า

จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ พร้อมรับ AEC หรือยัง?

การเปิดเสรีทางการค้าเมื่อสมาชิกอาเซียนตกลงเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) นั้น ด้านการซื้อขายสินค้าระหว่างประเทศสมาชิก AEC ด้วยกันจะต้องมีการ เคลื่อนย้ายสินค้าอย่างเสรี และไม่มีการจัดเก็บภาษีระหว่างกัน

ทั้ง นี้ ประเทศสมาชิกแต่ละประเทศสามารถออกมาตรการอื่น ๆ เพื่อปกป้องสวัสดิภาพของประชากรในประเทศตนได้ หากมาตรการดังกล่าวตั้งอยู่บนหลักการไม่เลือกปฏิบัติ (Nondiscriminatory Basis) และไม่ใช่มาตรการทางภาษี ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวเรียกว่า "อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี" หรือ Nontariff Barriers (NTB)

อย่าง ไรก็ดี NTB นี้สามารถนำมาใช้เป็นเครื่องมือ ปกป้องอุตสาหกรรมภายในของแต่ละประเทศแทนมาตรการทางภาษีอันส่งผลให้สินค้าที่ ผลิตในประเทศมีข้อได้เปรียบสินค้านำเข้า ซึ่งอาจทำให้การค้าระหว่างประเทศสมาชิก AEC ไม่เป็นไปอย่างเสรี และไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน

สำหรับ อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) นั้น สามารถจำแนกได้เป็น 8 ประเภทด้วยกัน ได้แก่ (1) มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping : AD) (2) มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (Counter-Vailing Duty : CVD) (3) มาตรการปกป้องจากการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) (4) มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (Sanitary and Phytosanitary : SPS) (5) มาตรการอุปสรรคเทคนิคทางการค้า (Technical Barrier to Trade : TBT)

(6) มาตรการด้านสิ่งแวดล้อม (7) มาตรการด้านแรงงาน (8) มาตรการรูปแบบอื่น ๆ เช่น การจัดซื้อโดยรัฐ การกำหนดแหล่งกำเนิดสินค้า เป็นต้น

ปัจจุบัน ประเทศสมาชิกอาเซียนต่างดำเนินการตาม AEC Blue Print ที่เป็นแนวทางของประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน โดยแต่ละประเทศได้ลด "อัตราภาษีนำเข้า" ในสินค้าและบริการประเภทต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องตาม AEC Blue Print

แต่เมื่ออัตราภาษีลดลง กลับพบว่าอุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีของประเทศสมาชิกอาเซียนแต่ละประเทศ กลับเพิ่มขึ้นแทนมาตรการทางภาษี

ไม่ ว่าจะเป็นการออกกฎระเบียบการขออนุญาตนำเข้าสินค้าที่ยุ่งยากและมากขึ้น การกำหนดมาตรฐานอาหาร มาตรฐานแรงงานหรือสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น หรือการกำหนดจุดนำเข้าสินค้า เป็นต้น ทั้งนี้ หากมีการใช้อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีมากเกินความจำเป็น ก็ถือเป็นการกีดกันทางการค้าแบบแอบแฝงนั่นเอง

ปัจจุบันประเทศสมาชิก อาเซียนหลายประเทศมีการออกกฎระเบียบการนำเข้าสินค้า การกำหนดมาตรฐานสินค้านำเข้าตลอดจนกฎระเบียบในรูปแบบอื่น ๆ เป็นจำนวนมาก เช่น กรณีประเทศอินโดนีเซียที่มีการออกกฎระเบียบและมาตรการกีดกันทางการค้า (Protectionist measures) มากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในโลก รองจากประเทศอินเดียและตุรกี ทั้งยังเป็นประเทศที่มีการออกมาตรการกีดกันทางการค้ามากที่สุดในอาเซียน (จากการรายงานขององค์การการค้าโลก)

อินโดนีเซียมีการกำหนดให้สินค้า ข้าวหอมมะลิ ต้องมีวัตถุประสงค์พิเศษในการนำเข้า เช่น นำเข้าเพื่อสุขภาพ ซึ่งจะต้องจดทะเบียนเป็นผู้นำเข้าพร้อมขอการรับรองจากกระทรวงเกษตรของ อินโดนีเซียก่อน และขออนุญาตจากกระทรวงการค้าของอินโดนีเซียในแต่ละรอบขนส่ง

นอกจากนี้ ยังมีมาตรการกำหนดให้ หอมหัวแดง ที่นำเข้าต้องผ่านการตัดรากและตัดจุกออกก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มต้นทุนให้กับผู้ส่งออกไทย ทั้งยังทำให้หัวหอมนั้นเน่าเสียเร็วอีกด้วย

อีกทั้งยังมีกรณีประเทศ ฟิลิปปินส์ ที่กำหนดให้สินค้า ไก่สดและไก่แช่แข็งเนื้อวัวสดและแช่เย็น เนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ ต้องผ่านการตรวจรับรองโรงงานจากหน่วยงานของฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ แม้ไทยจะได้รับการยกเว้นให้นำเข้าเมื่อ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2555 แต่ขณะนี้ฟิลิปปินส์ก็ยังมิได้ออกหนังสืออนุญาตให้

การใช้อุปสรรคทาง การค้าที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศนั้น ส่งผลกระทบต่อผู้ส่งออกสินค้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น เนื่องจากมีขั้นตอนที่ยุ่งยากมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนการผลิต ขั้นตอนการขนส่ง หรือขั้นตอนการขอใบอนุญาต เมื่อสินค้านำเข้ามีต้นทุนที่สูงขึ้น ความสามารถในการแข่งขันกับสินค้าภายในประเทศผู้นำเข้าที่มีต้นทุนถูกกว่าก็ จะต่ำลงไปด้วย เพราะมีราคาที่สูงกว่าสินค้าในประเทศ

จากปัญหาการกีด กันทางการค้าดังกล่าว นักวิชาการหลายฝ่ายได้เสนอให้อาเซียนหารือให้ชัดเจนเกี่ยวกับการออกมาตรการ ทางการค้าที่มีผลต่อการค้าภายในภูมิภาค ว่า สามารถใช้อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีเพื่อปกป้องสวัสดิภาพของประชากรแต่ ละประเทศได้มากน้อยเพียงใด

อะไรที่ถือเป็นการกีดกันทางการค้าที่ ห้ามประเทศสมาชิกกำหนดมาตรการเหล่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้ตั้ง หน่วยงานเพื่อตรวจสอบการดำเนินมาตรการที่ถือเป็นการกีดกันทางการค้าต่อ ประเทศสมาชิก AEC ด้วยกัน เพื่อให้การค้าภายใต้ AEC เป็นไปอย่างเสรี ตรงตามเจตนารมณ์ของ AEC และทำให้การค้าระหว่างประเทศสมาชิก AEC ขยายตัวเพิ่มขึ้น อันจะส่งผลดีต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของภูมิภาคต่อไป

แม้ จะมีการตกลงให้เปิดการค้าเสรีระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียนแล้วก็ตาม แต่ในทางปฏิบัติ การเปิดการค้าเสรีนั้นอาจเป็นไปได้ยาก เนื่องจากประเทศสมาชิกอาเซียนบางประเทศมีรายได้จากการเก็บภาษีจากข้างนอก ดังนั้น นโยบายของประเทศเหล่านั้นจึงไม่เป็นไปตามนโยบายของอาเซียน

ประเด็น นี้คงต้องมีการทำความเข้าใจ และโน้มน้าวให้ประเทศเหล่านั้นเข้าใจว่า แม้การเปิดเสรีจะทำให้รายได้ของประเทศที่ได้จากการเก็บภาษีศุลกากรลดลง แต่ประเทศก็จะมีรายได้จากการเก็บภาษีด้านอื่นสูงขึ้น เช่น เก็บภาษีเงินได้ (Sales tax) และภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ได้มากขึ้นเมื่อมีการซื้อขายกันมากขึ้น เป็นต้น

นอกจากนี้ หากสินค้าที่นำเข้ามาเป็นวัตถุดิบที่ป้อนเข้าสู่โรงงานเพื่อผลิตเป็นสินค้า สำเร็จรูปและส่งออกอีกต่อหนึ่ง มูลค่าของสินค้าดังกล่าวก็จะสูงขึ้น เมื่อขายไปแล้วผู้ประกอบการจะได้กำไรเพิ่มขึ้น รัฐก็จะได้ภาษีเพิ่มขึ้นด้วยนั่นเอง

สิ่งเหล่านี้คือเรื่องประเด็น ที่ต้องมีการทำความเข้าใจแก่รัฐบาลและประชาชนทุกระดับ เพื่อหาวิธีปรับตัวให้สามารถอยู่รอดได้เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนนั่น เอง


ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต

Tags : มาตรการกีดกันทางการค้า

view