สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

บทความทีดีอาร์ไอ คนไทยเอาข้าวที่ไหนมากิน

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"นิพนธ์-อัมมาร"2นักวิชาการทีดีอาร์ไอ เสนอบทความเรื่อง"คนไทยเอาข้าวที่ไหนมากิน"น่าสนใจยิ่ง

นับตั้งแต่รัฐบาลเพื่อไทยเริ่มดำเนินการจำนำข้าวเปลือกทุกเม็ด ตั้งแต่วันที่ 3 ตุลาคม 2554 จนถึง 30 กันยายน 2555 รวมทั้งสิ้น 21.475 ล้านตันข้าวเปลือก (คิดเป็นข้าวสารทั้งสิ้น 13.3 ล้านตัน) หรือ 61.6% ของผลผลิตข้าวในปี 2554-2555

ผลที่ตามมา คือ ราคาข้าวเปลือกในประเทศถีบตัวขึ้นสูงกว่าสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ที่ไม่มีการจำนำ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจ คือ ราคาข้าวสารขายปลีกในประเทศกลับมีราคาถูก ทั้งๆ ที่ข้าวสารส่วนใหญ่นอนสงบนิ่งอยู่ในโกดังกลางของรัฐบาล ขณะที่คนไทยต้องกินข้าวปีละไม่ต่ำกว่า 10.4-10.7 ล้านตัน
แสดงว่าราคาขายปลีกข้าวสารในช่วงเดือนตุลาคม 2555 เฉลี่ยเพียงกิโลกรัมละ 22.19 บาท ซึ่งถูกกว่าราคาข้าวสารในช่วงเดือนตุลาคม 2553-กรกฎาคม 2554 (เฉลี่ย 22.17 บาทต่อกก.)

การตรึงราคาข้าวสารนี้จะต้องเกิดจากนโยบายระดับสูงของพรรคเพื่อไทย ที่ไม่มีการประกาศต่อสาธารณะ

กลไกของรัฐในการจำนำข้าวและระบายข้าว

หลังจากรับซื้อข้าวเปลือกมาจากชาวนาแล้ว รัฐก็จะสั่งสีแปรสภาพเป็นข้าวสารภายใน 7 วัน กำหนดส่งมอบต้นข้าวเพียง 450 กิโลกรัม จากเดิม 500 กิโลกรัม ทำให้โรงสีมีข้าวสารส่วนเกินอยู่ในมือประมาณ 40 กิโลกรัม ต่อ 1 ตัน รวม 0.67 ล้านตัน
ผลกระทบที่ชัดเจนจากการจำนำ คือ ปริมาณการส่งออกข้าวของภาคเอกชนลดลงเหลือเพียง 5.77 ล้านตัน เพราะราคาข้าวส่งออกของไทยแพงกว่าคู่แข่งมาก

หลังจากถูกสื่อมวลชนกดดันเรื่องการระบายข้าวแบบ G-to-G อย่างต่อเนื่องในเดือนตุลาคม 2555 กระทรวงพาณิชย์จึงออกแถลงข่าวอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับปริมาณการระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล 5 วิธีดังนี้ (1) การทำข้อตกลง ซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ (หรือ จีทูจี) ระหว่าง 1 มกราคม-18 ตุลาคม 2555 เป็นจำนวน 7.328 ล้านตัน ประเทศผู้ซื้อได้แก่ จีน อินโดนีเซีย และโกตดิวัวร์ ทั้ง รมว.พาณิชย์และนายกฯ ยืนยันว่าระหว่างเดือนมกราคม-กันยายน 2555 รัฐได้จำหน่ายข้าวแบบจี-ทู-จี ไปแล้ว 1.46 ล้านตัน และคาดว่าจะส่งมอบอีก 0.3 ล้านตัน ภายในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2555
(2) เปิดประมูลเป็นการทั่วไปให้กับผู้ประกอบการในประเทศเพื่อส่งออกหรือจำหน่ายในประเทศ 0.32 ล้านตัน (3) ขายให้องค์กรหรือหน่วยงานทั้งในประเทศและต่างประเทศเพื่อประโยชน์สาธารณะ 0.083 ล้านตัน (4) ซื้อขายในตลาดสินค้าเกษตรล่วงหน้า แต่ไม่ปรากฏว่ามีการจำหน่ายด้วยวิธีนี้เลย และ (5) บริจาคช่วยเหลือผู้ประสบภัย หากตัวเลขที่รัฐแถลงเป็นจริง ก็แสดงว่ารัฐได้จำหน่ายข้าวทั้งในประเทศและนอกประเทศรวมทั้งสิ้น 1.863 ล้านตัน ช่วงมกราคม-กันยายน 2555

การตรวจสอบข้อมูลการระบายข้าวของรัฐบาลประสบปัญหาความยากลำบาก เป็นข้อมูลที่ลึกลับที่สุด คำอภิปรายไม่ไว้วางใจของ ส.ส.วรงค์ เดชกิจวิกรม แสดงให้เห็นชัดเจนว่าหากมีการค้าแบบจีทูจีจริง ก็เป็นการที่กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวให้แก่บริษัทเอกชนไทยและต่างชาติเพื่อขายต่อให้แก่รัฐบาลต่างชาติอีกทอดหนึ่ง แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่ามีข้าวบางส่วนนำมาระบายในประเทศ

ผู้เชี่ยวชาญในวงการส่งออกข้าวไทย ต่างยืนยันว่าไม่พบหลักฐานใดๆ ว่ารัฐมีการส่งออกข้าวแบบจีทูจีเลยในระหว่างปี 2555
คำถามที่น่าสนใจ คือ ทำไมเจ้าหน้าที่ของรัฐ จึงต้องให้ข่าวที่เป็นเท็จว่ารัฐบาลไทยสามารถขายข้าวแบบจีทูจีได้ 7.328 ล้านตัน (แต่ในภายหลัง เอกสาร “รู้ลึก รู้จริง จำนำข้าว” กลับยอมรับว่าระหว่างมกราคม-กันยายน 2555 รัฐบาลขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ 1.46 ล้านตัน)

อย่างไรก็ตาม หากเรายอมรับว่ารัฐบาลไทยขายข้าวให้รัฐบาลต่างชาติทางอ้อมผ่านบริษัทเอกชน ผลการตรวจสอบการส่งออกข้าวของรัฐบาลไทยพบว่าในช่วงเดือนกันยายน 2554-ตุลาคม 2555 มีปริมาณเพียง 1.03-1.19 ล้านตัน

ขณะที่รัฐบาลประกาศว่าขายข้าวจีทูจีไปแล้ว 1.46 ล้านตัน ข้อเท็จจริงคือ มีข่าวชัดเจนว่ารัฐบาลอินโดนีเซียปฏิเสธไม่ซื้อข้าวครบ 3 แสนตันตามสัญญา เพราะปัญหาคุณภาพข้าว และหากสมมุติว่าโกตดิวัวร์ซื้อข้าวครบตามสัญญาจำนวน 2.9 แสนตัน และจีนซื้อข้าวผ่านบริษัทนายหน้าของไทย 1.9 แสนตัน รัฐบาลไทยก็ขายข้าวส่งออกได้เพียง 7.2 แสนตัน ไม่ใช่ 1.46 ล้านตัน” ข้อสรุป คือ ข้าวส่วนต่าง จำนวน 0.74 ล้านตัน (1.46 - 0.72) น่าจะเป็นข้าวที่บริษัทเอกชนนำมาขายต่อภายในประเทศ

โดยสรุปตลอดช่วง 10 เดือนแรกของปี 2555 กระทรวงพาณิชย์ขายข้าวทั้งในประเทศและต่างประเทศไม่เกิน 1.1-1.844 ล้านตันจากข้าวสารที่อยู่ในโกดังทั้งหมด 13.3 ล้านตัน

กลไกตลาดของบริษัทเอกชนที่ค้าขายกับรัฐ

ตัวเลขปริมาณการระบายข้าวของรัฐข้างต้นสะท้อนความไร้ประสิทธิภาพของกลไกรัฐในการขายข้าว หากรัฐระบายข้าวสู่ตลาดในประเทศได้เพียง 0.384 ล้านตัน ป่านนี้ราคาขายปลีกข้าวสารในประเทศจะพุ่งขึ้นสูงลิบ สร้างปัญหาความเดือดร้อนให้คนยากจนไปแล้ว แต่รัฐบาลเก่งกาจมาจากไหน คำตอบ คือ รัฐอาศัยกลไกตลาดของบริษัทเอกชนบางแห่งเป็นเครื่องมือแทนกลไกของรัฐ

ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจก่อนว่า ถ้าจะให้มีข้าวสารราคาถูกได้ รัฐก็จะต้องปล่อยข้าวสารออกจากโกดังกลางของรัฐเป็นจำนวนไม่ต่ำกว่าปริมาณการบริโภคของคนไทยในแต่ละเดือน แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีการส่งออกข้าวพอสมควร ดังนั้น ในท้องตลาดจะต้องมีใครก็ตามที่มี “อำนาจเหนือรัฐบาล” สามารถออกคำสั่งให้มีการระบายข้าวสารออกจากโกดังกลางรัฐบาลทุกๆ วัน ทุกๆ เดือน ในจำนวนที่ทำให้ร้านค้าข้าวสารทั่วประเทศและผู้ขายข้าวถุงมีข้าวขายบนหิ้งในราคาเดิมอยู่ตลอดเวลา

คำถามคือ ตลอด 10 เดือนแรกของปี 2555 เราจะต้องระบายข้าวสารสู่ตลาดค้าปลีกในประเทศเป็นจำนวนเท่าไร คำตอบหลักการคำนวณง่ายๆ คือ (1) เราคำนวณหาปริมาณการบริโภคข้าวสาร รวมทั้งปริมาณข้าวเปลือกที่ชาวนาต้องเก็บไว้ทำพันธุ์ตลอดปี เฉพาะ 10 เดือนแรกของปี 2555 จำนวน 8.7-9.1 ล้านตัน (2) ในช่วง 10 เดือนแรก ไทยส่งออกทั้งหมดรวม 5.77 ล้านตัน สองรายการนี้รวมกันเท่ากับ 14.4 - 14.8 ล้านตัน

แต่ผลผลิตข้าวที่เหลืออยู่ในท้องตลาดมีน้อยมาก เพราะผลผลิตข้าวส่วนใหญ่ถูกขายให้โครงการจำนำ ในเดือนมกราคม ถึง เดือนตุลาคม 2555 มีผลผลิตข้าวนาปีฤดู 2554/55 และผลผลิตนาปรังปี 2555 รวม 22.33 ล้านตันข้าวสาร ชาวนาขายข้าวให้โครงการจำนำ 10.55 ล้านตัน รัฐบาลจำหน่ายข้าวสู่ตลาดในประเทศเป็นจำนวน 0.384 ล้านตัน นอกจากนี้โรงสีในโครงการจำนำจะมีข้าวสารที่ได้รับเป็นค่าจ้างและผลกำไรจากการรับจ้างรัฐบาลประมาณ 0.676 ล้านตัน โดยรวมแล้วตลาดในประเทศจะมีข้าวสารเพียง 12.84 ล้านตัน ขณะที่คนไทยต้องบริโภคข้าวและต้องมีข้าวส่งออกรวม 14.4 -14.8 ล้านตัน

ดังนั้น ใน 10 เดือนแรกของปี 2555 รัฐบาลจะต้องระบายข้าวสารออกจากคลังรัฐบาลอีกอย่างน้อย 1.6-1.99 ล้านตัน จึงจะทำให้ราคาข้าวสารมีราคาเท่าเดิมได้

กระทรวงพาณิชย์ไม่เคยประกาศเป็นนโยบายต่อสาธารณะเลยว่ามีนโยบายการระบายข้าวจำนวนดังอย่างไร แต่ในวงการพ่อค้าข้าว เป็นที่รู้กันว่าสามารถติดต่อ “นายหน้าผู้ทรงอิทธิพล” บางราย ก็จะหาซื้อข้าวจากคลังรัฐบาลได้ โดยจ่ายค่านายหน้าให้บริษัทดังกล่าว
โดยนายหน้าจะติดต่อโรงสีในโครงการจำนำ ส่งมอบข้าวสารให้แก่ พ่อค้าส่งออก หรือ พ่อค้าข้าวในประเทศ ส่วนเรื่องการทำบัญชีข้าวในโกดังกลางของรัฐ คงเป็นหน้าที่ของนายหน้า เพื่อนนักวิชาการท่านหนึ่งเคยส่งหลักฐานการที่โรงสีแห่งหนึ่ง สามารถขอซื้อข้าวจากคลังรัฐบาล เพื่อนำข้าวสารไปขายในจังหวัดโดยจ่ายค่านายหน้าตันละ 500-3,000 บาทขึ้นอยู่กับชนิดข้าว

เรื่องที่น่าประหลาดใจที่สุด คือ ระหว่างมกราคม-ตุลาคม 2555 ไทยสามารถส่งออกข้าวนึ่งได้ถึง 1.789 ล้านตัน โดยข้อเท็จจริงชาวนาจำนำทุกเม็ด โรงสีจะไม่สามารถหาซื้อข้าวเปลือกมา “นึ่ง” ก่อนสีส่งออกได้ เป็นหลักฐานชัดเจนว่าผู้ส่งออกข้าวนึ่ง สามารถพึ่งพา “กลไกตลาด” ของบริษัทนายหน้าผู้ทรงอิทธิพลหาซื้อข้าวเปลือกจากโครงการจำนำได้

เพราะการส่งออกข้าวนึ่งราคาสูงกว่าข้าวขาวตันละ 30-50 ดอลลาร์ ส่วนต่างทำให้เกิด “ตลาดการค้าข้าวเปลือกในโครงการจำนำ” ผู้ส่งออกข้าวนึ่งยินดีแบ่งผลกำไรบางส่วนให้แก่นายหน้าที่วิ่งเต้นให้โรงสีในโครงการจำนำ ส่งข้าวเปลือกให้นึ่งได้ ผู้มีอำนาจ” คนใดเล่าที่สามารถสั่งให้โรงสีขนข้าวเปลือกโครงการจำนำไปโรงสีข้าวนึ่งถึง 3.6 ล้านตัน นี่ไม่ใช่การทุจริตแบบเล็กๆ น้อยๆ นะครับ

เมื่อมีการขนข้าวสารจากโกดังกลางของรัฐ บริษัทนายหน้าดังกล่าวจะจัดการโยกย้ายข้าวเก่า มาใส่แทนหรือจะใช้เพียงวิธีเปลี่ยน “บัญชีข้าว” ในโกดังกลาง

กระทรวงพาณิชย์ต้องรับผิดชอบตรวจสอบ และแถลงข้อเท็จจริง ว่าในโกดังกลางมีข้าวอยู่จริงๆ เป็นจำนวนเท่าไร สิ่งที่เกิดขึ้นแน่ๆ คือ มีการเคลื่อนย้ายข้าวสารและข้าวเปลือก ออกจากโครงการจำนำ ไม่ต่ำกว่า 3.4-3.8 ล้านตัน ไปให้พ่อค้าในประเทศและพ่อค้าส่งออก โดยอาศัยกลไกตลาดที่แอบอิงกับผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาล นี่คือการโจรกรรมข้าวและเงินภาษีประชาชนครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

แต่ที่สำคัญพอๆ กัน คือ เงินค่าขายข้าวอยู่ที่ไหน หรือรัฐได้อาศัยกลไกตลาดของบริษัทเอกชนโยกย้ายข้าวออกมาขายในตลาดเพิ่มเติมจากจำนวนที่แจ้งแก่ประชาชนเป็นจำนวน 3.4 - 3.8 ล้านตัน คิดเป็นเงินอีก 56,100-62,700 ล้านบาท (3.4 x 16,500 บาท ถึง 3.8 x 16,500 บาทต่อตัน)
ในเดือนตุลาคม 2555 รัฐบาลส่งเงินค่าขายข้าวคืนกระทรวงการคลังเพียง 3 หมื่นล้านบาท เงินจำนวนนี้สอดคล้องกับยอดขายข้าวของรัฐ (1.863 ล้านตัน) เงินที่เหลืออีก 56,000 - 62,000 ล้านบาทอยู่ที่ไหนครับ

คำถามต่อมา คือ การให้บริษัทนายหน้าเป็นตัวแทนในการจำหน่ายข้าว บริษัทเอกชนได้ค่านายหน้าไปไม่ต่ำกว่า 7,600- 11,000 ล้านบาท บริษัทเหล่านี้เสียภาษีเงินได้หรือไม่ และเงินนายหน้านี้ตกในมือผู้มีอำนาจคนใด

คำถามสุดท้าย คือ รัฐบาลขาดทุนเท่าไรครับ อย่าบอกว่าการขายข้าวแบบนี้ รัฐบาลไม่สามารถประกาศราคาขายได้นะครับ เพราะนี่เป็นการขายข้าวในประเทศครับ หรือถ้าเป็นการส่งออก ก็เป็นการขายข้าวให้บริษัทเอกชนไปส่งออกอีกทอดหนึ่ง ประชาชนเป็นเจ้าของข้าวนะครับ
เจ้าหน้าที่ของรัฐที่ปิดบังข้อมูลเหล่านี้ โปรดระวังข้อหาร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบนะครับ


ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต

Tags : บทความ ทีดีอาร์ไอ คนไทย เอาข้าวที่ไหนมากิน

view