สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ธาริต รับลูก สอบขายข้าว ยุค พรทิวา

ธาริต'รับลูก สอบขายข้าว ยุค'พรทิวา

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

"ดีเอสไอ"เด้งรับสอบทุจริตระบายข้าวยุค "ปชป."ตรวจสอบย้อนหลังคดีเก่าสมัย"พรทิวา"คุมพาณิชย์ พบคดีพันคนใกล้ชิดนักการเมือง ส่งปปช.ตั้งอนุฯไต่สวน

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยว่า ดีเอสไอได้รับการประสานว่า ในวันที่ 20 ธ.ค. นี้ เวลา 10.00 น. จะมีการร้องเรียนให้ตรวจสอบกรณีทุจริตการระบายสต็อกข้าวของรัฐบาลชุดที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจน ว่า จะเป็นผู้ใดเข้าร้องเรียน ระหว่างผู้แทนกระทรวงพาณิชย์หรือพรรคเพื่อไทย และยังไม่ทราบรายละเอียดว่าจะเป็นการร้องเรียนให้ตรวจสอบกรณีใดบ้าง

เบื้องต้นได้ตรวจสอบว่า เลขคดีที่ดีเอสไอเคยรับไว้สืบสวนหรือตรวจสอบข้อเท็จจริง เกี่ยวกับกรณีรับจำนำข้าวหรือระบายข้าว พบว่า พ.ต.ท.พงษ์อินทร์ อินทรขาว ผบ.สำนักคดีความมั่นคง เคยตรวจสอบกรณีความไม่โปร่งใสในการระบายข้าวสมัยที่นางพรทิวา นาคาศัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ซึ่งกรณีดังกล่าวดีเอสไอได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รับไปดำเนินการแล้ว

@เบื้องต้นพบพันนักการเมือง-ข้าราชการ

แหล่งข่าวจากดีเอสไอ เปิดเผยว่า ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี สั่งการให้ตรวจสอบความไม่โปร่งใส ในการระบายข้าวของกระทรวงพาณิชย์ ขณะเดียวกันมีการร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดีเอสไอตรวจสอบกรณีดังกล่าวด้วย ซึ่งผลการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเป็นคดีที่มีข้าราชการประจำและข้าราชการการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง

กรณีที่ นายวีระศักดิ์ จินารัตน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ มอบหมายให้ นางสาวฐาณิญา สิงห์แจ่ม ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดดำเนินการออกแคชเชียร์เช็ค เพื่อนำเงินมาค้ำประกันการระบายข้าวจำนวน 25 ล้านบาท ซึ่งเงินดังกล่าวนำมาจากกองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาวิทยาลัยโปลีเทคนิคภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งนายวีระศักดิ์เป็นอธิการบดีวิทยาลัยดังกล่าว ได้สั่งจ่ายให้กับองค์การตลาดเพื่อเกษตรกร (อ.ต.ก.)

@ชี้ตั้งบริษัทหน้าใหม่รับงานมาตลอด

แหล่งข่าวจากดีเอสไอ กล่าวด้วยว่า การตรวจสอบคดีทุจริตโครงการรับจำนำพืชผลเกษตร มักพบว่า ทุกครั้งที่มีการเปิดรับจำนำพืชผลเกษตร โดยเฉพาะข้าวจะมีบุคคลใกล้ชิดกับนักการเมืองจะเปิดบริษัทหน้าใหม่ สำหรับรับโควตาระบายข้าวออกสู่ตลาดต่างประเทศ เพื่อฟันกำไรจากเงินส่วนต่างโดยข้าวไม่ได้ถูกส่งออกไปขายต่างประเทศจริง โดยแนวทางการสืบสวนพบว่ามีความเกี่ยวพันกับกลุ่มการเมือง

สำหรับกรณีไม่โปร่งใสการระบายสต็อกข้าวในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ปริมาณ 5.6 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวนาปรัง ปี 2551 นาปี ปี 2551/2552 และนาปรังปี 2552 ตามโครงการรับจำนำข้าวเปลือกของรัฐบาล โดยมีการเรียกบริษัทผู้ส่งออกเฉพาะบางราย เข้าไปเสนอราคาซื้อ โดยไม่ปรากฏว่ามีการเปิดประมูลเพื่อให้มีการแข่งขันเป็นการทั่วไป อันมีลักษณะเป็นการกีดกันการแข่งขัน ในการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม อีกทั้ง บริษัทผู้ส่งออกที่เข้าเสนอราคาซื้อได้เสนอราคาซื้อต่ำกว่าราคาตลาดในขณะนั้นมากเป็นเหตุให้รัฐบาลสูญเสียรายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท ต่อการขายข้าว 1 ล้านตัน

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า กรณีมีเหตุอันควรสงสัยว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ร่วมกันปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ หรือโดยทุจริต ในการดำเนินการระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล จึงมีมติรับเรื่องไว้พิจารณา และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริง โดยมีนายกล้านรงค์ จันทิก กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานคณะอนุกรรมการ

@เผยผลสอบขายข้าวรัฐบาลนี้ไม่เสร็จ

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จากการสอบถามคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาล ที่มีนางวัชรี วิมุกตายน ปลัดกระทรวงฯ เป็นประธาน พบว่าอยู่ระหว่างการทำรายละเอียดสรุป คาดว่าอย่างเร็ว ภายในวันที่ 21 ธ.ค. นี้จะแล้วเสร็จ และพร้อมแถลงผลการตรวจสอบทันที

รายงานข่าวแจ้งว่า การทำงานของคณะกรรมการฯ ได้เชิญบริษัทผู้ส่งออกข้าวที่เคยซื้อข้าวจากรัฐบาลในช่วง 3 ปีย้อนหลังมาให้ข้อมูล แต่พบว่าบริษัทส่วนใหญ่จะให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติงานมาให้ข้อมูล ทำให้ไม่ได้รายละเอียดมากเท่าที่ควร

อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการฯ ได้เน้นการตรวจสอบเอกสารการซื้อขายเป็นหลัก ตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย คือ ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ ขั้นตอน และเงื่อนไขการจำหน่ายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลในช่วงเวลา 3 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะกรณีการขายเป็นการทั่วไปให้กับผู้ประกอบการในประเทศและการขายแบบรัฐต่อรัฐ ว่ามีขั้นตอนการทำสัญญาอย่างไร ได้ดำเนินการเป็นไปตามขั้นตอนถูกต้องหรือไม่ และมีเอกสารหรือบุคคลใดเกี่ยวข้องบ้าง

@เผยรัฐแบกสต็อก 14 ล้านตันข้าวสาร

นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย กล่าวว่า สต็อกข้าวสารของรัฐบาลปัจจุบันน่าจะมีประมาณ 13-14 ล้านตัน ตามปริมาณการรับจำนำข้าวฤดูกาลที่ผ่านมา 19 ล้านตันข้าวเปลือก และปัจจุบันมีข้าวจากโครงการรับจำนำนาปี 2555/56 ปริมาณ 4 ล้านตันข้าวเปลือก และข้าวที่เหลือจากรัฐบาลชุดก่อนประมาณ 2 ล้านตัน (ข้าวสาร) ซึ่งปริมาณข้าวจำนวนมาก จะเป็นแรงกดดันให้ราคาข้าวไทยในตลาดโลกไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และมีโอกาสที่ราคาจะลดต่ำลงต่อเนื่อง เพราะผู้ซื้อต่างประเทศจะเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อ จากเดิมที่จะซื้อเพื่อเติมสต็อกไว้ล่วงหน้า มาเป็นการซื้อเพื่อบริโภค หรือ Hand to Mouth แทน เพราะรู้ว่ามีสต็อกที่ไทยเก็บรักษาไว้ให้ ทำให้ปริมาณความต้องการข้าวในตลาดไม่เคลื่อนไหวเท่าที่ควร

"การส่งออกข้าวปีนี้ จากสถิติการส่งออกทั้งปี น่าจะอยู่ที่ 6.9 ล้านตัน ซึ่งไม่สอดคล้องกับปริมาณข้าวที่รัฐบาลเคยประกาศว่าได้ระบายผ่านแบบจีทูจี ทำให้มองว่าขณะนี้ข้าวไทยกำลังเผชิญกับปัญหาราคาสูง จนตลาดไม่ตอบรับ ซึ่งทางออกหนึ่ง คือ ต้องวัดใจว่ารัฐบาลจะกล้าระบายข้าวออกมาในราคาใกล้เคียงกับตลาดโลกหรือไม่ โดยราคาตลาดโลกเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 440-450 ดอลลาร์ (ข้าวขาว) ซึ่งเป็นราคาที่ต่ำกว่าต้นทุนการรับจำนำ ที่จะต้องอยู่ที่ตันละ 800 ดอลลาร์ เพราะหากระบายตามราคาตลาด รัฐบาลต้องขาดทุนอย่างมหาศาล แต่อีกทางหนึ่งถ้าไม่ทำอะไรก็ต้องแบกสต็อกข้าวไว้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะกลับมาเป็นแรงกดดันราคาข้าวในที่สุด"นายชูเกียรติ กล่าว


เปิดคำร้องเพื่อไทย ฮั้วประมูลข้าวรัฐบาลปชป.

เปิดคำร้องเพื่อไทย จี้ดีเอสไอสอบพิรุธการระบายสต็อกข้าวรัฐบาลปชป.7ประเด็น แฉที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ดอดซื้อข้าวเป็นอาหารสัตว์สุดถูกกิโลละ5.50บาท

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับหนังสือคำร้องของส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ยื่นให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตรวจสอบกรณีการระบาบข้าวในสต็อกของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์รวม 4 หน้ากระดาษ ระบุว่า การดำเนินการระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลในช่วงปี 2552-2553 มีการดำเนินการเป็นความลับ ไม่เปิดประมูลเป็นการทั่วไป มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการเพียงบางราย เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายอื่นไม่ให้มีการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม มีการอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบในการจำหน่ายโดยมิชอบ และจำหน่ายในราคาต่ำกว่าราคาที่ควรจำหน่ายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ อันเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือ ฮั้วประมูล และความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยมีรายละเอียดดังนี้

1 .เมื่อวันที่ 18 พ.ค.2553 คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติรับทราบมติกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โดยเห็นชอบในหลักการให้พิจารณาระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาลในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล โดยให้ระบายไปยังตลาดต่างประเทศที่นอกเหนือตลาดปกติของผู้ส่งออกข้าว และให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์เป็นผู้พิจารณาจำหน่ายข้าวสารในรูปแบบจีทูจี ด้วยความระมัดระวัง มิให้กระทบต่อระบบตลาดครั้งละไม่เกิน 300,000 ตัน และจำหน่ายแก่เอกชนเพื่อการส่งออกจำนวนไม่เกิน 100,000 ตัน แล้วรายงานให้กขช.ทราบก่อนลงนามสัญญากับคู่สัญญาต่อไป

2 .เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 2553 ครม.ได้มีมติรับทราบกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินการระบายข้าวตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาลที่กขช.เสนอ และเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการพิจารณาระบาบข้าวกำหนดหลักเกณฑ์และกรอบยุทธศาสตร์ รวมถึงปริมาณการจำหน่ายด้วยความระมัดระวัง โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อภาวะราคาตลาด และให้คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสารเป็นผู้ดำเนินการและนำเสนอประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารพิจารณาอนุมัติ แล้วเสนอประธานกขช.หรือรองประธานกขช.พิจารณาให้ความเห็นสอบก่อนลงนามสัญญา โดยมีข้อสังเกตว่า มติครม. 29 มิ.ย.2553 ได้แก้ไขมติครม.วันที่ 18 พ.ค. 2553 ในประเด็นสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบจำหน่ายข้าวในสต็อกรัฐบาล จากคณะกรรมการกขช. เป็นประธาน หรือรองประธานกขช.

3 .ระหว่างเดือน ก.ค.-ธ.ค. 2553 ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการระบายข้าวจากเดิม มาเป็นการให้เอกชนผู้ส่งออกที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศในปริมาณมาก ยื่นคำเสนอขอซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาล โดยไม่มีการออกประกาศเชิญชวน เนื่องจากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯ ในฐานะรองประธาน กขช. ระบุว่าการจำหน่ายข้าวในสต็อกต้องทำเป็นความลับ ทั้งนี้เมื่อเอกชนผู้ส่งออกข้าวยื่นคำขอซื้อแล้ว คณะทำงานพิจารณาระบายข้าวจะนำเสนอผลการเจรจาให้รมว.พาณิชย์อนุมัติแล้วเสนอรองประธาน กขช. ให้ความเห็นชอบ จากนั้นอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศจะมีหนังสือแจ้งให้เอกชนที่ผ่านการพิจารณาเข้าทำสัญญากับอตก.หรืออคส. โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องส่งออกข้าวไปต่างประเทศภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมีเอกชนเข้าทำสัญญาเพียง 9 ราย จากจำนวนผู้ส่งออกที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจำนวน 317 ราย โดยที่ผู้ส่งออกรายอื่นไม่ได้รับสิทธิเป็นคู่สัญญาเนื่องจากไม่ทราบเรื่อง ซึ่งวิธีการดังกล่าวมีปริมาณข้าวที่ระบายออกจากสต็อกจำนวน 4,126,656 ตัน คิดเป็นมูลค่า 53,070,216,395 บาท

4 .ราคาจำหน่ายข้าวขาวชนิด 5% ที่จำหน่ายจากวิธีระบายข้าวดังกล่าว มีราคาเฉลี่ยตันละ 12,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดมากกว่า 10% และต่ำกว่าราคาที่ควรจะขาย โดยมีราคาต่างจากการระบายข้าวของรัฐบาลปัจจุบันตันละ 4,300 บาท จึงก่อให้เกิดความเสียหายไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท 5 .การที่กขช.และครม.กำหนดนโยบายระบายข้าวโดยปล่อยให้มีการใช้วิธีระบายโดยให้เอกชนที่มีคำสั่งซื้อในปริมาณมากยื่นคำเสนอขอซื้อในสต็อกรัฐบาล เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวสามารถเลือกช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ได้โดยง่าย แม้จะกำหนดให้เป็นการขายแบบจีทูจี แต่ท้ายที่สุดไม่ได้มีการขายแบบจีทูจี แต่ขายให้เอกชนในประเทศเพื่อส่งออกแทน นอกจากนี้ในการทำสัญญามีการจำหน่ายข้าวมากกว่าสัญญาละ 100,000 ตัน ซึ่งไม่ตรงตามมติกขช.และมติครม. จึงเป็นการดำเนินการที่เกินอำนาจ

6 .พบว่าไม่มีการตรวจสอบคำสั่งซื้อข้าวของเอกชน เป็นผลให้เอกชนหลายรายที่เป็นคู่สัญญาไม่ส่งออกข้าวออกนอกประเทศภายในเวลาที่กำหนด มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 25% ของสัญญาส่งออกข้าว และมีการคืนหลักประกันเนื่องจากเอกสารการส่งออกไม่ครบถ้วน ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย 7 .มีการจำหน่ายข้าวให้กับหนองลังกาฟาร์ม โดยทำสัญญาในนาม น.ส.เสาวลักษณ์ เย็นใส โดยน.ส.เสาวลักษณ์เป็นลูกจ้างของนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ โดยเมื่อได้รับข้าวสารแล้วได้นำส่งให้บริษัทกาญจนาอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นบริษัทของนางบุญยิ่ง โดยมีข้อสังเกตว่ามีการจำหน่ายในราคาถูกมากเพียง กิโลกรัมละ 5.50 บาท ต่ำกว่าราคาที่ควรจำหน่ายได้ในราคากิโลกรัมละ 500 บาท ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐมากกว่า 40 ล้านบาท


ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต

Tags : ธาริต รับลูก สอบขายข้าว ยุคพรทิวา

view