สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ทูตจีน ยันไม่เคยมีสัญญาซื้อข้าว จีทูจี 5 ล้านตัน ตามที่ รบ.ไทยอ้าง

ทูตจีน” ยันไม่เคยมีสัญญาซื้อข้าว “จีทูจี” 5 ล้านตัน ตามที่ รบ.ไทยอ้าง

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

เอก อัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย เผยการขายข้าวแบบจีทูจี “ไทย-จีน” แค่ลงนามในหลักการ ส่วนการซื้อขายเป็นเรื่องของบริษัทไปตกลงกับไทย ลั่นไม่เคยมีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตัน ตามที่รัฐบาลไทยกล่าวอ้าง ยันซื้อจากหลายประเทศ ไม่ใช่แค่ไทย เลี่ยงตอบกำลังจะเป็นเครื่องมือบังหน้าทุจริต
       
       วันนี้ (30 พ.ย.) เมื่อเวลา 16.30 น.คณะโรงเรียนการเมืองของจีน นำโดยรองผู้อำนวยการการเมืองของจีน จากกระทรวงวิเทศสัมพันธ์ พร้อมกับทูตได้เดินทางมาเยือนพรรคประชาธิปัตย์ โดยรอง ผอ.การเมืองของจีน ได้บรรยายเกี่ยวกับวิสัยทัศน์ของประเทศจีนในทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยยืนยันว่า ผู้นำคนใหม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน และมีแนวคิดที่จะทำให้เศรษฐกิจเติบโตเป็นสองเท่าตัว ภายใน 10 ปี และจะดำรงเป้าหมายจีดีพีของจีนโต 15% ต่อปี ทุกๆ ปี อีกทั้งจีนยังมีนโยบายพัฒนาด้านเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดความมั่งมีศรีสุขต่อ ประชาชน และเป็นมิตรกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมถึงต้องการให้เกิดสันติภาพ ซึ่งเมื่อจีนมีศักยภาพเพียงพอ ก็พร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาสันติภาพให้กับโลก
       
       จากนั้น นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผอ.โรงเรียนการเมืองพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนเหมือนกับพรรคประชาธิปัตย์อย่างหนึ่ง คือ เป็นพรรคการเมืองที่ทำเพื่อประชาชน พร้อมกับเสนอให้มีการแลกเปลี่ยนนักเรียนการเมืองระหว่างกัน เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้มากขึ้น ซึ่งรอง ผอ.การเมืองจีน ก็เห็นด้วยในหลักการ
       
       นายก่วน มู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย กล่าวถึงการขายข้าวแบบจีทูจี ระหว่างไทยกับจีน ว่า เป็นประเพณีที่เกิดขึ้นมาหลาย 10 ปีแล้ว เพราะประเทศไทยผลิตข้าวมากที่สุด และขายข้าวได้เป็นอันดับหนึ่งของโลกตลอดมา จึงมีการหารือกันขอให้จีนซื้อข้าวเพิ่ม เพื่อช่วยเหลือชาวนาไทยให้มีรายได้ดีขึ้น ต่อมาก็มีการลงนามในข้อตกลงสนับสนุนค้าสินค้าเกษตร และสนับสนุนการค้าและวางแผนงาน 5 ปี ด้านการเกษตร สำหรับเรื่องข้าวถือว่ามีความสำคัญมากกว่ายางพารา และมันสำปะหลัง หรือผลไม้อื่น แต่ข้าวก็ถือว่าขายลำบาก แต่ตามประเพณีที่ปฏิบัติมา จีนก็เห็นว่า ควรที่จะสนับสนุน จึงลงนามในหลักการเรียกว่าระหว่างรัฐบาลเป็นในระดับหลักการเท่านั้น แต่ถ้าจะซื้อขายจริงๆ จะมอบหมายให้บริษัทไปหารือกับประเทศไทยโดยตรง ทั้งนี้ ทราบว่า มีการเซ็นสัญญากับบริษัทแล้ว โดยประมาณหลายแสนตัน แต่ไม่เคยมีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตัน ตามที่รัฐบาลไทยกล่าวอ้าง เพราะจีนไม่ได้ซื้อข้าวจากไทยประเทศเดียว จึงไม่ได้ซื้อมากมาย เพราะเราก็ไม่ได้ขาดข้าวอยู่แล้ว เพียงแต่ซื้อเพื่อปรับตามความต้องการของตลาดที่ชอบรสชาติข้าวไทย แต่บางครั้งก็ซื้อจากเวียดนาม รัสเซีย และอีกหลายประเทศ
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า บริษัทที่จีนมอบหมายให้ซื้อข้าวกับบริษัท จีเอสเอสจี กับไทย ใช่หรือไม่ เอกอัครราชทูตจีน กล่าวเลี่ยงว่า ไม่ได้มีบริษัทเดียว แต่มีหลายบริษัทประมาณ 4-5 บริษัท ซึ่งสัญญาซื้อขายก็ยังไม่ได้ยุติทั้งหมด ต้องตกลงกันต่อไป สาเหตุที่จีนเลือกซื้อข้าวไทยขณะที่ราคาสูงกว่าประเทศอื่น เพราะคุณภาพและรสชาติต่างกัน โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิของไทยมีชื่อเสียงในประเทศจีน โดยเฉพาะผู้บริโภคทางภาคใต้ของจีนชอบข้าวไทย แม้ราคาจะสูง แต่บริษัทเอกชนต้องคิดว่าคุ้ม ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ซื้อข้าวจากไทย เพราะทุกอย่างมีกลไกตลาดกำกับ เมื่อถามว่า สังคมกำลังสงสัยว่า จีทูจีในการขายข้าวระหว่างไทยกับจีน กำลังเป็นเครื่องมือบังหน้าในการทุจริตนั้นมองอย่างไร เอกอัครราชทูตจีน ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้ โดยกล่าวว่า ไม่ทราบ และอยากอธิบายว่า การซื้อข้าวจากไทยเป็นประเพณีที่ทุกปีต้องซื้อ ส่วนการเปิดแอลซี รัฐบาลจะไม่ทราบ เพราะเป็นเรื่องของบริษัท เนื่องจากการดำเนินการของบริษัท หรือรัฐวิสาหกิจจะทำเอง รัฐบาลมีบทบาทเพียงแค่ชี้นำให้มีการซื้อขายเท่านั้น จากนั้นบริษัทจะไปตกลงกันเองกับประเทศไทย
       
       “ระบบที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจีนเป็นผู้ซื้อ แต่มีบทบาทชักนำให้รัฐวิสาหกิจ หรือภาคเอกชนเข้ามาซื้อเท่านั้น หลังจากนั้น ก็ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลแล้ว รวมถึงเรื่องการตกลงราคาก็เป็นเรื่องที่สองฝ่ายคุยกัน หลักการอยู่ที่กลไกตลาด บริษัทที่ซื้อไปต้องขายได้กำไร เพราะถ้าขาดทุนคงไม่ซื้อเพราะรัฐบาลไม่ได้ช่วย เนื่องจากมีกฎเกณฑ์และระเบียบหลายอย่าง” นายก่วน มู่ ระบุ


ฑูตจีนย้ำซื้อข้าวไทยเป็นหน้าที่เอกชน

"ทูตจีน"เผยรัฐบาลจีนซื้อข้าวไทย เป็นหน้าที่เรื่องของเอกชน ระบุไม่ทราบการเปิดแอลซี แต่ยังไม่มีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตัน
ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้(30พ.ย.) นายก่วน มู่ เอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย ได้ให้สัมภาษณ์ถึงการขายข้าวแบบจีทูจี ระหว่างไทยกับจีนว่า เป็นประเพณีที่เกิดขึ้นมาหลาย10 ปีแล้ว เพราะประเทศไทยผลิตข้าวมากที่สุด และขายข้าวได้เป็นอันดับหนึ่งของโลกตลอดมา จึงมีการหารือกันขอให้จีนซื้อข้าวเพิ่มเพื่อช่วยเหลือชาวนาไทย ให้มีรายได้ดีขึ้น ต่อมาก็มีการลงนามในข้อตกลงสนับสนุนค้าสินค้าเกษตร และ สนับสนุนการค้า โดยในเรื่องข้าวนั้น จีนก็เห็นว่าควรที่จะสนับสนุนจึงลงนามในหลักการเรียกว่า ระหว่างรัฐบาลเป็นในระดับหลักการเท่านั้น แต่ถ้าจะซื้อขายจริงๆจะมอบหมายให้บริษัทไปหารือกับประเทศไทยโดยตรง ทั้งนี้ทราบว่ามีการเซ็นสัญญากับบริษัทแล้ว โดยประมาณหลายแสนตัน แต่ไม่เคยมีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตันตามที่รัฐบาลไทยกล่าวอ้าง เพราะจีนไม่ได้ซื้อข้าวจากไทยประเทศเดียว จึงไม่ได้ซื้อมากมาย เพราะเราก็ไม่ได้ขาดข้าวอยู่แล้ว เพียงแต่ซื้อเพื่อปรับตามความต้องการของตลาดที่ชอบรสชาติข้าวไทย แต่บางครั้งก็ซื้อจากเวียดนาม รัสเซีย และอีกหลายประเทศ

ผู้ สื่อข่าวถามว่าบริษัทที่จีนมอบหมายให้ซื้อข้าวกับบริษัทจีเอสเอสจี กับไทยใช่หรือไม่ นายก่วนมู่ กล่าวว่า ไม่ได้มีบริษัทเดียว แต่มีหลายบริษัทประมาณ 4 - 5 บริษัท ซึ่งสัญญาซื้อขายก็ยังไม่ได้ยุติทั้งหมด ต้องตกลงกันต่อไป ซึ่งสาเหตุที่จีนเลือกซื้อข้าวไทยขณะที่ราคาสูงกว่าประเทศอื่นเพราะคุณภาพ และรสชาติต่างกัน โดยเฉพาะข้าวหอมมะลิของไทยมีซื้อเสียงในประเทศจีน โดยเฉพาะผู้บริโภคทางภาคใต้ของจีนชอบข้าวไทย แม้ราคาจะสูงแต่บริษัทเอกชนต้องคิดว่าคุ้ม ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ซื้อข้าวจากไทย เพราะทุกอย่างมีกลไกตลาดกำกับ

เมื่อ ถามว่า สังคมกำลังสงสัยว่าจีทูจีในการขายข้าวระหว่างไทยกับจีน กำลังเป็นเครื่องมือบังหน้าในการทุจริต เอกอัครราชทูตจีน ปฏิเสธที่จะตอบคำถามนี้โดยกล่าวว่า ไม่ทราบ และอยากอธิบายว่าการซื้อข้าวจากไทยเป็นประเพณีที่ทุกปีต้องซื้อ ส่วนการเปิดแอลซี รัฐบาลจะไม่ทราบเพราะเป็นเรื่องของบริษัท เนื่องจากการดำเนินการของบริษัทหรือรัฐวิสาหกิจจะทำเอง รัฐบาลมีบทบาทเพียงแค่ชี้นำให้มีการซื้อขายเท่านั้น จากนั้นบริษัทจะไปตกลงกันเองกับประเทศไทย

“ ระบบที่ทำอยู่ตอนนี้ไม่ใช่ว่ารัฐบาลจีนเป็นผู้ซื้อ แต่มีบทบาทชักนำให้รัฐวิสาหกิจ หรือภาคเอกชนเข้ามาซื้อเท่านั้น หลังจากนั้นก็ไม่เกี่ยวกับรัฐบาลแล้ว รวมถึงเรื่องการตกลงราคาก็เป็นเรื่องที่สองฝ่ายคุยกัน หลักการอยู่ที่กลไกตลาด บริษัทที่ซื้อไปต้องขายได้กำไร เพราะถ้าขาดทุนคงไม่ซื้อเพราะรัฐบาลไม่ได้ช่วย เนื่องจากมีกฏเกณฑ์และระเบียบหลายอย่าง”นายก่วน มู่ ระบุ


“หมอวรงค์” ชี้ทูตจีนปัดซื้อข้าวจากไทยมัดรัฐบาลโกหก เชื่อ “บุญทรง” อยู่ยาก

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

“หมอ วรงค์” เชื่อ “บุญทรง” อยู่ยากหลังถูกลากไส้ทุจริตโครงการจำนำข้าว และการซื้อขายจีทูจีกับจีน ชี้ทูตจีนยืนยันรัฐบาลไม่เคยซื้อข้าวเอง และไม่เคยมีคำสั่งซื้อ 5 ล้านตันตามที่อ้าง ทำให้รัฐบาลจำนนต่อหลักฐาน เย้ยยื่นถอดถอนแก้เกี่ยว แนะควรดำเนินการกับประธานเพราะเป็นผู้อนุญาตให้อภิปราย เล็งทำการ์ตูน สื่อออนไลน์ แจกชาวบ้านตีแผ่รัฐบาลโกง

       
       นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นผู้อภิปรายเปิดโปงเส้นทางการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับรัฐบาลจีน จนถูกยื่นถอดถอดจาก ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การยื่นถอดถอนตนเป็นการแก้เกี้ยวของรัฐบาล เพราะไม่มีเหตุผลในการยื่นถอดถอน โดยกล่าวหาว่าไม่ยื่นถอดถอนนายกรัฐมนตรี ซึ่งตนไม่ได้บอกว่านายกรัฐมนตรี เป็นคนโกง แต่นายกรัฐมนตรีละเลย ปล่อยให้มีการทุจริต คิดว่าเขาจนมุมที่จะตอบสังคมจึงต้องพยายามดิสเครดิต และไม่ได้วิตกกังวลในเรื่องนี้ ถ้ามองในมุมกลับในสภาก็เป็นเอกสิทธิ์ของ ส.ส. ถ้าเราอภิปรายในสิ่งที่ไม่ตรงกับญัตติ ประธานสภาก็สามารถให้ใช้ข้อบังคับการประชุมในการประท้วง และควบคุมให้อยู่ในระเบียบการประชุม แต่เหมือนกับรัฐบาลตอบคำถามไม่ได้ ทำอะไรไม่เป็น และรู้ว่าตัวเองทุจริต ฉะนั้น สิ่งที่ทำได้อย่างเดียวก็คือ พยายามดิสเครดิตฝ่ายค้าน
       
       “คนที่จะต้องถอดถอนถ้าผิดพลาดจริง คือ ตัวประธานในที่ประชุม เพราะเป็นคนคุมการประชุม ซึ่งไม่มีใครสามารถมาแทรกแซงสถาบันนิติบัญญัติได้ แต่วันนั้นเขาประท้วงเราไม่ได้ เพราะคำชี้แจงของเราประธานฟังแล้ว จึงให้โอกาสเราอภิปรายได้จนครบ”
       
       นพ.วรงค์ กล่าวว่า ในช่วงปิดสมัยประชุมสภาฯ จะขยายผล 2 ส่วน คือ ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) และนายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กำลังให้ทีมงานจัดเตรียมข้อมูลเพื่อทำเป็นการ์ตูนให้ชาวบ้านอ่านเข้าใจง่าย และใช้สื่อโซเชียลมีเดีย เผยแพร่ข้อมูลผ่านทางทีมงานพรรค และผู้ที่สนับสนุนพรรค เพื่อชี้ให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ช่วยชาวนาจริง ฝ่ายค้านเปิดเผยข้อมูล และตั้งข้อกล่าวหารัฐบาลแล้ว รัฐบาลต้องชี้แจงให้ตรงตามที่ถูกกล่าวหา
       
       ส่วน ส.ส.รัฐบาล และรัฐบาลเอง ก็ต้องมีสำนึกด้วย ขอให้ไปตรวจสอบว่าสิ่งที่ฝ่ายค้านพูดจริงหรือไม่ เป็น ส.ส.ต้องทำหน้าที่ผู้แทนของประชาชนด้วย ไม่ใช่มาปิดหูปิดตา ดำน้ำมาปกป้องกันเอง แล้วบิดเบือนข้อเท็จจริง เอาเวลาช่วงปิดสภาไปตรวจสอบข้อมูลที่ฝ่ายค้านกล่าวหา เพราะถ้าจริงแล้วรัฐบาลไม่ยอมทำอะไร รัฐบาลจะอยู่ลำบาก รัฐบาลต้องมีสำนึกด้วยว่า มีอำนาจแล้วทุกคนจะต้องฟังคุณ แต่ทุกคนก็รักประเทศชาติด้วยกันทั้งนั้น หากปล่อยให้ทำต่อไปชาติล่มจมแน่
       
       ผู้สื่อข่าวถามว่า ล่าสุดเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทย นายก่วน มู่ ก็ออกมาระบุชัดเจนแล้วว่า ทางรัฐบาลจีนไม่ได้สั่งซื้อข้าวจำนวน 5 ล้านตัน ตามที่กระทรวงพาณิชย์ระบุก่อนหน้านี้ นพ.วรงค์ กล่าวว่า นี่คือปัญหาของรัฐบาลที่เขาไม่สามารถเอาเอ็มโอยู สัญญาการซื้อขายที่อ้างมาแสดงได้ ท่านทูตจีนระบุค่อนข้างชัดว่า รัฐบาลจีนไม่ได้ซื้อ เป็นแค่เพียงมีส่วนชักนำให้รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทมาซื้อ ในส่วนของรัฐบาลจีนไม่ทราบเรื่องขั้นตอนวิธีการ แต่รัฐบาลใช้วิธีการนิ่งสงบสยบเคลื่อนไหว อ้ำอึ้ง หรือจำนนต่อหลักฐานก็ไม่ทราบ แต่ตนมั่นใจในข้อมูลหลักฐานที่มี รัฐบาลนี้จึงต้องรับผิดชอบ อย่างน้อยนายบุญทรงอยู่ไม่ได้แล้ว และทาง ป.ป.ช.ก็ต้องขยายผลสอบสวนต่อไป ส่วนการทำหนังสือสอบถามไปยังสถานทูตจีนประจำประเทศไทยในเรื่องนี้ก็ให้ทาง พรรคดำเนินการไป


ภาพมัด'เสี่ยเปี๋ยง'ซุกปีกนช.แม้ว-โกงจำนำข้าว-ปชป.ถามทูตจีนปมจีทูจี

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ASTVผู้ จัดการรายวัน - เปิดภาพชอตใหม่ “เสี่ยเปี๋ยง”ซุกปีก “นช.แม้ว” เอี่ยวโกงรับจำนำข้าว ด้าน"ปชป." เดินเกมรุก จ่อถามสถานทูตจีนซื้อข้าวไทย"จีทูจี" และขอให้ "แบงก์ชาติ" ปมเปิดแอล/ซีค้าข้าวว่ามีจริงหรือไม่ เชื่อโกงเป็นกระบวนการทำไทยสูญเงินหลายแสนล้านบาท เล็งยื่นป.ป.ช.-ปปง.สอบต่อสัปดาห์หน้า ด้าน“สยามอินดิก้า”ไล่นักข่าวพ้นตึก ปูดอดีตขุนคลังเอี่ยวบริษัทค้าข้าว ขณะที่ ชาวนาจ.สุพรรณฯเร่งฉีดสารเคมีกระตุ้นผลผลิตนำส่งโครงการรับจำนำข้าว

       
       วานนี้ (29 พ.ย.) นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า หลังจากเสร็จสิ้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว ทางพรรคประชาธิปัตย์ จะหนังสือถึงสถานทูตจีนประจำประเทศไทย เพื่อสอบถามว่ามีการสั่งซื้อข่าวจำนวน 5 พันตันจากประเทศไทยจริงหรือไม่ และประเทศจีนได้มอบหมายให้บริษัท GSSG Import-Export Coperation ที่รัฐบาลกล่าวอ้างว่าเป็นบริษัทนายหน้าของประเทศฯจีนในการขนส่งข้าวไปยัง ประเทศจีน มีการใช้บริษัทนี้จริงหรือไม่ และจะถามต่อว่า ไม่ว่าจะเป็นกรรมการของบริษัท ที่กลายเป็นคนไทย คือ นายรัฐนิธ โสจิรกุล เป็นคนที่รัฐบาลจีนมอบหมายให้มาซื้อข้าวจากประเทศไทยจริงหรือไม่ และ จะตรวจสอบต่อไปว่า รัฐบาลจีนมีการนำข้าวจากประเทศไทย จำนวน 5 พันตัน เมื่อไร และวิธีการจ่ายเงินระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลจีนเป็นอย่างไรจะเป็นไปตามที่ บริษัทดังกล่าวอ้างหรือไม่ ว่ามีการจ่ายเช็คในชื่อของบุคคลที่เป็นคนทั้งสิ้นไปยังกรมการค้าต่างประเทศ
       
       นายชวนนนท์ กล่าวต่อว่า ตนเชื่อว่าการถามไปยังรัฐบาลจีนนั้น เพื่อให้รัฐบาลจีนมีโอกาสได้แสดงข้อเท็จจริง เพราะตนไม่อยากให้รัฐบาลไทยเอาประเทศจีนมาเป็นเครื่องมือ ในการทุจริต และเชื่อว่ารัฐบาลจีนในเวลานี้เห็นเรื่องการทุจริตคอร์รัปชัน เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด และเชื่อว่ารัฐบาลจีนน่าที่จะใช้โอกาสที่ทางพรรคประชาธิปัตย์ขอความร่วมมือ แสดงความกระจ่างว่ารัฐบาลไทยกำลังเอาประเทศจีนมาเป็นเครื่องมือในการโกงกิน อย่างที่มีข้อกล่าวหาหรือไม่ และเพื่อให้คนไทยทุกคนสบายใจว่าประเทศจีนไม้ได้ส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลโกง ชาติ
       
       ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ จะทำหนังสือสอบถามไปยังธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อสอบถามว่ามีการเปิดแลตเทอร์ออฟเครดิต หรือ LC จากการซื้อข้าว จากประเทศจีนมายังประเทศไทยจริงหรือไม่ และถ้ามี มีเมื่อไร ปริมาณจำนวนเงินเท่าไร ตนคิดว่าอันนี้เป็นสิทธิที่ประชาชนมีสิทธิที่จะสอบถามองค์กรภาครัฐเพื่อให้ เกิดความโปร่งใสตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ตนยืนยันว่า ธปท.ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาปิดบัง สิ่งเหล่านี้พรรคจะติดตามอย่างต่อเนื่อง เพราะเราเชื่อว่ากระบวนการ โกงการทุจริตจำนำข้าวยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง จึงอยากให้ประชาชนช่วยกันตรวจสอบเรืองที่เกิดขึ้นและติดตามการทำงานของฝ่าย ค้านที่จะติดตามตรวจสอบเรื่องดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง
       
       **ปปง.พร้อมตรวจเส้นทางซื้อขาย
       
       พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า ปปง.พร้อมรับคำร้องดังกล่าว เพื่อนำไปตรวจสอบข้อมูลและข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ปปง.ยังได้ติดตามข้อมูลจากการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้านด้วย แต่ขณะนี้เนื่องจากยังไม่มีผู้ร้องอย่างเป็นทางการ จึงได้ติดตามข้อมูลห่างๆ แต่การจะให้เข้ายึดและอายัดทรัพย์ของผู้ถูกกล่าวหาตามที่ปรากฏรายชื่อนั้น ยังไม่สามารถทำได้ เนื่องจากต้องรอความชัดเจนจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ(ป.ป.ช) ก่อนว่า มีผู้ใดเข้าไปเกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวบ้างและมีความเชื่อมโยงกัน อย่างไร โดยหลังจากป.ป.ช.รับเรื่องและพบมูลฐานความผิดชัดเจนแล้ว ปปง.จึงจะสามารถทำคดีควบคู่ไปพร้อมๆกัน
       
       "หากปปง.จะเข้าไปดำเนินการตามกฎหมายฟอกเงิน เช่น การยึดหรืออายัดเงิน ป.ป.ช.จะต้องชี้มูลความผิดมูลฐานชัดเจนก่อน ในระหว่างที่ยังไม่มีความชัดเจน ปปง.ทำได้แค่การตรวจสอบผ่านการรายงานธุรกรรมจากสถาบันการเงินต่างๆ แต่ยังไม่สามารถดำเนินการมากไปกว่านี้ เพราะอาจเป็นการทำธุรกรรมการเงินปกติก็ได้" พ.ต.อ.สีหนาท กล่าว
       
       สำหรับเส้นทางการเงินของบุคคลที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าวที่ น.พ.วรงค์ ได้นำมาอภิปรายนั้น ระบุว่า การขายข้าวระบบจีทูจี มีการตั้งบริษัทลวงในต่างประเทศเพื่อทำธุรกรรมการเงินระหว่างประเทศ และตรวจสอบพบว่ามีการโอนเงินการผ่านธนาคารใหญ่ 4 ธนาคาร ซึ่งพบพิรุธว่ามีการโอนเงิน โดยช่วงเช้ามีการโอนเข้า และช่วงบ่ายก็มีการถอนออกทั้งหมด ซึ่งเป็นข้อสงสัยว่า เป็นการฟอกเงินหรือไม่ ดังนั้นโครงการดังกล่าวจึงไม่ใช่เป็นการซื้อแบบจีทูจี แต่เป็นขายผ่านนายหน้า โดยมีบริษัทที่เป็นคนใกล้ชิดรัฐบาล ใกล้ชิดจากคนแดนไกล นอกจากนี้รัฐไม่มีการเปิด LC ซึ่งเป็นหลักฐานการจ่ายเงินจากต่างชาติ ซึ่งการกระทำของรัฐบาลอาจเป็นการใช้บัญชีของรัฐบาลเข้าไปพัวพันกับการฟอก เงิน
       
       **บ.เสี่ยเปี๋ยงไล่นักข่าวเวปดังพ้นออฟฟิศ
       
       ขณะที่เวปไซค์สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) เผยแพร่ว่า เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 55 ผู้สื่อข่าวสำนักข่าวอิศราได้เดินทางไปยังบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด ตามที่อยู่ที่แจ้งไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า คือ เลขที่ 48/7-8 (ชั้น 2) ซอยรัชดาภิเษก 20 (รุ่งเรือง) ถนนรัชดาภิเษก แขวงสามเสนนอก เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร เพื่อขอสัมภาษณ์ผู้บริหาร เกี่ยวกับกรณีที่ถูกฝ่ายค้านตั้งข้อสังเกตว่า อาจได้รับประโยชน์จากการระบายข้าวในสต๊อกรัฐบาล รูปแบบจีทูจี ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมา
       
       ขณะที่ได้รับแจ้งว่า ผู้บริหารบริษัท สยามอินดิก้า ไม่ได้เข้ามาที่บริษัท รวมทั้งเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ยังอ้างว่ามี คำสั่ง ห้ามสื่อมวลชนเข้ามาภายในบริษัท พร้อมขอให้ผู้สื่อข่าวเดินออกไปนอกบริษัททันที
       
       เวปไซค์สำนักข่าวอิศรา ยังเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า อาคารสยามอินดิก้า นอกจากเป็นที่ตั้งสำนักงานบริษัท สยามอินดิก้า แล้ว ยังเป็นสถานที่ตั้งบริษัทเอกชน 7 แห่ง คือ
       
       1.บริษัท เอ็มไพร์ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 20 สิงหาคม 2545 ทุน 5,000,000 บาท แจ้งประกอบธุรกิจจำหน่ายระบบโปรแกรมและงานคอมพิวเตอร์ ปรากฏชื่อ นางสาวปัทมนันท์ ผดุงชีวิต นางสุดา คุณจักร กรรมการผู้มีอำนาจ นางสุดา คุณจักร ถือหุ้นใหญ่ 96.5333%
       
       2.บริษัท สิราลัย จำกัด จดทะเบียนวันที่ 5 มีนาคม 2555 ทุน 2,200,000,000 บาท แจ้งประกอบกิจการให้เช่าอาคารโรงงานที่พักอาศัยรวมปลูกสร้าง นางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร เป็นกรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่ 50.0250%
       
       3.บริษัท ทีซี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 18 มิถุนายน 2555 ทุน 80,000,000 บาท ประกอบกิจการอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าและดำเนินการทางธุรกิจ นางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร เป็นกรรมการ
       
       4.บริษัท เท็นโอเวอร์เท็น จำกัด จดทะเบียนวันที่ 6 ตุลาคม 2553 ทุน 1,000,000 บาท ประกอบกิจการค้าผ้า เครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับกาย เครื่องอุปโภค นางสาว ศิริกันยา จันทร์สกุลพร เป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ 90 %
       
       5.บริษัท เงินสดทันใจ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 20 มิถุนายน 2551 ทุน 50,000,000 บาท ประกอบกิจการให้เช่าซื้อรถจักรยานยนต์ใหม่และเงินให้กู้ยืมส่วนบุคคล นางสาวดวงใจ แก้วบุตตา กรรมการ บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 99.9996%
       
       **ชื่อ “ทนง”โผล่บอร์ดตึกบ.เสี่ยเปี๋ยง
       
       6.บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด จดทะเบียน วันที่ 5 กันยายน 2551 ทุน 200,000,000 บาท ประกอบกิจการให้บริการด้านสินเชื่อแก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในรูปแบบของ การให้เช่าซื้อและให้กู้ยืมเงินสินเชื่อ ปรากฎชื่อ นายทนง พิทยะ ร่วมเป็นกรรมการ กับ น.ส. ดวงใจ แก้วบุตตา บริษัท ดี.ที.เจ.เซอร์วิส จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 49.9997% บริษัท ดี.ที.เจ.โฮลดิ้งส์ จำกัด 49.9997% ขณะที่นาย ทนง พิทยะ ถืออยู่ 0.0001%
       
       7. บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1982 จำกัด จดทะเบียนวันที่ 22 พฤศจิกายน 2538 ทุน 2,123,000,000 บาท ประกอบกิจการให้บริการด้านสินเชื่อแก่บุคคลธรรมดาและนิติบุคคลในรูปแบบการ ให้เช่าซื้อและกู้ยืมเงินสินเชื่อ น.ส. ดวงใจ แก้วบุตตา บริษัท ศรีสวัสดิ์ พาวเวอร์ 1979 จำกัด ถือหุ้นใหญ่ 100%
       
       ยังพบว่า นางสุดา คุณจักร ปรากฏชื่อเป็น ผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัท สยามอินดิก้า คนปัจจุบัน นางสาวธันยพร จันทร์สกุลพร นางสาว ศิริกันยา จันทร์สกุลพร มีนามสกุลเดียวกับ “อภิชาติ จันทร์สกุลพร”อดีตกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำนวน 43,739,000 หุ้น เป็นอดีตผู้ก่อตั้ง กรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด จำนวน 232,560 หุ้น
       
       ขณะที่ “ทุน” บริษัท สิราลัย จำกัด พบว่า ในช่วงจดทะเบียนตั้งบริษัท เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2555 มีแค่ 1,000,000 บาท ก่อนจะปรับขึ้นเป็น 1,200,000,000 บาท เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 และเพิ่มเป็น 2,200,000,000 บาท เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2555 ซึ่งเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกับ บริษัท “GSSG IMP AND EXPORT CORP” จากเมืองกวางเจา ประเทศจีน เข้ามาทำสัญญาซื้อข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ และมีการตรวจพบว่า ตัวแทนบริษัทที่เข้ามาดำเนินการ คือ “รัฐนิธ โสติกุล” (“ปาล์ม” ) และ นายนิมล รักดี มีความเกี่ยวโยงกับ บริษัทสยามอินดิก้า
       
       **ชอตใหม่ “เสี่ยเปี๋ยง”ซุกปีกแม้ว
       
       สำนักข่าวอิศรา ยังเผยแพร่ภาพชุดใหม่จากคลิปงานปาร์ตี้ฮ่องกง ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพบภาพชอตใหม่ “เสี่ยเปี๋ยง”หรือ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง เดินข้างกาย พ.ต.ท.ทักษิณ ช็อปสินค้าแบรนด์เนมห้างชั้นนำ โดยเสี่ยเปี๋ยงถูกพรรคฝ่ายค้านอภิปรายโยงการระบายข้าวจีทูจี ของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
       
       ทั้งนี้ ในคลิปดังกล่าว ปรากฏภาพชายวัยกลางคน ผิวขาว ใส่แว่น คอยเดินตามประกอบพ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ด้านหลัง
       
       *** อึ้ง! นาข้าวสุพรรณฯเร่งโตส่งจำนำ
       
       ขณะที่ในเวทีแถลงข่าวสมัชชาสุขภาพแห่งชาติครั้งที่ 5 พ.ศ.2555 ทุกนโยบาย ห่วงใยสุขภาพ “อนาคตความปลอดภัยทางอาหารของไทย” อ้างว่า ประเทศไทย มีการนำเข้าสารเคมีมากถึง 87 ล้านกิโลกรัม พบนาข้าวในจ.สุพรรณบุรี ใช้สารเคมีสูง 30% ของต้นทุนการผลิต และยังพบการฉีดสารเคมีถึง 15 ครั้งต่อ 1 ฤดูกาลปลูก เพื่อเร่งผลผลิตนำเข้าโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล


ตีแสกหน้าบริวารแม้ว “เสี่ยเปี๋ยง-ไอ้ปาล์ม-เมียกี้ร์” ตั้งบริษัทผีในจีนซื้อข้าว

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
-การโพนทะนาว่ารัฐบาลสามารถขายข้าวในสต็อกจากโครงการรับจำนำข้าวให้กับจีนในรูปแบบรัฐต่อรัฐ หรือ “จีทูจี” กลายเป็นเรื่องลวงโลกที่เครือข่ายบริวารญาติแม้วสร้างขึ้นและเข้ามาเอี่ยวประโยชน์สวาปามกันมันปาก ซึ่งงานนี้ต้องยกเครดิตให้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พรรค ประชาธิปัตย์ จ.พิษณุโลก ที่เปิดข้อมูลความชั่วร้ายในการระบายข้าวของรัฐบาล โดยแฉว่ามีการตั้งบริษัทผีในจีนซื้อข้าวรัฐบาลส่งต่อให้กับสยามอินดิก้า ขาใหญ่ที่มีโยงใยสัมพันธ์แนบแน่นกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

       
       เรื่องนี้ หมอวรงค์ได้เปิดโปงในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 พ.ย. 2555
       
       ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญยิ่งที่ นพ.วรงค์อยู่ตรงที่ จากการตรวจสอบพบพิรุธในการขายข้าวจำนวน 7.32 ล้านตัน พบมีการตั้ง 2 บริษัท คือ บริษัทจากจีน 1 แห่ง และบริษัทคนไทย 1 แห่ง โดยบริษัทจากจีนชื่อ “GSSG IMP AND EXPORT CORP” อยู่ที่เมืองกวางเจา โดยบริษัทนี้ทำสัญญาค้าข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ 5 ล้านตัน ผู้ที่มีอำนาจของบริษัท คือ นายรัฐนิธ โสติกุล แต่มอบอำนาจให้นายนิมล รักดี ชาว อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร เป็นผู้ดำเนินการแทน”
       
       ที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ นายรัฐนิธ มีชื่อเล่นว่า “ปาล์ม” อายุ 32 ปี เพิ่งผ่านการเรียนหลักสูตรวุฒิบัตรผู้ช่วยและผู้ปฏิบัติงานของสมาชิกรัฐสภา รุ่นที่ 6 รวมทั้งเป็นนักศึกษาของสถาบันพระปกเกล้า และเป็นผู้ช่วย ส.ส.ในลำดับที่ 3 ของนางรพิพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (ภรรยานายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง) เมื่อตรวจสอบบัญชีธนาคารของนายรัฐนิธ พบว่า มีเงินอยู่ในบัญชีเพียง 64.63 บาท ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติสำหรับผู้มีอำนาจติดต่อซื้อขายข้าวกับรัฐบาลไทย
       
       เช่นเดียวกับ นายนิมล รักดี จากการที่หมอวรงค์ลงพื้นที่สอบถามจากโรงสีในพื้นที่ภาคกลาง ได้รับการเปิดเผยว่า นายนิมล มีชื่อในวงการว่า “เสี่ยโจว” เป็นมือขวา “เสี่ยเปี๋ยง” นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร เจ้าของบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่ง ผูกขาดการซื้อข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และนายนิมล ยังเคยถูก ป.ป.ช.ชี้มูลการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ในนามบริษัทเพรสซิเด้นท์ อะกริเทรดดิ้ง สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ อีกด้วย
       
       นอกจากนี้ นพ.วรงค์ยังระบุด้วยว่า การอ้างว่าขายข้าวแบบจีทูจี ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการประมูลให้ได้ราคาพิเศษ ไม่มีการระบายข้าวจริง เป็นการตั้งบริษัทผีมารับข้าว เพื่อนำข้าวไปเร่ขายให้กับโรงสี อาจจะได้ส่วนต่างสูง ตันละ 3,000 บาท บางล็อตสูงถึง 5,000 บาท โดยในการตรวจสอบข้อมูลที่มีคนส่งข้อมูลเป็นบัญชีข้าวของรัฐบาลมาให้ดู เป็นบัญชีออมทรัพย์ของกรมการค้าต่างประเทศ เลข 385009504-5 ข้อมูลช่วงวันที่ 28 ก.ย.- 15 ต.ค. 2555 ที่รัฐบาลคุยโวว่า จะมีการขายข้าวแต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ พบว่ามีการถอนเงินจากธนาคารใหญ่ในหลายลักษณะทั้งแคชเชียร์เช็ค การถอนเงินหรือการโอนเงินจากธนาคารใหญ่
       
       “อยากถามว่า เหตุใดรัฐบาลปล่อยให้บุคคลที่เคยมีความผิดเรื่องการทุจริต สมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาซื้อข้าวในรัฐบาลชุดนี้อีก”นพ.วรงค์ตั้งคำถาม
       
       ขณะเดียวกันในการจับโกหกครั้งนี้ นพ.วรงค์ ยังแฉว่า หากเป็นการค้าแบบจีทูจี จะต้องมีการเปิดแอล/ซี แต่ครั้งนี้กลับไม่พบว่ามีการเปิดแอล/ซี แสดงว่าไม่มีการค้าข้าวให้ต่างประเทศจริง แต่กลับมีเงินหมุนเวียนจากธนาคารใหญ่ เช่น มีการโอนเงิน รวม 72 รายการ จากธนาคารใหญ่ 4 แห่งในประเทศไทย ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกร และธนาคารไทยพาณิชย์ รวมเป็นมูลค่า 4,960 ล้านบาท และมีการถอนเงินออกจากบัญชีกรมการค้าต่างประเทศ 2 ครั้ง รวมเป็นเงิน 4,200 ล้านบาท
       
       เมื่อไม่มีการค้าข้าวแบบจีทูจีจริง แต่รัฐบาลกลับเปิดโอกาสให้บริษัทสยามอินดิก้า เอาข้าวของรัฐบาลไปเร่ขายให้กับโรงสี ในลักษณะ “ของไปเงินมา” มีการพบแคชเชียร์เช็ค ออกในนามของ นายสมคิด เรือนสุภา ที่ซื้อแคชเชียร์เช็ค จำนวนกว่า 500 ล้านบาท แต่เมื่อตรวจสอบที่อยู่ของนายสมคิด ตามที่แจ้งที่อยู่เลขที่ 191 ซอยดำเนินกลาง เขตพระนคร พบว่า ไม่มีสภาพเป็นบ้านของพ่อค้าข้าวรายใหญ่ เป็นเพียงบ้านไม้ 2 ชั้น ตั้งอยู่ริมคลอง จากการสอบถามประชาชนบ้านใกล้เคียงทราบว่า นายสมคิด ได้ย้ายไปอยู่บ้านของภรรยาที่เขตบางแค เมื่อตรวจสอบเพิ่มเติม พบว่า นายสมคิดเป็นคนของบริษัทสยามอินดิก้า เพราะนายสมคิดได้รับมอบอำนาจจากเสี่ยเปี๋ยง ไปจดทะเบียนตั้งบริษัทสยามอินดิก้า เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2547
       
       เมื่อตามข้อมูลต่อ พบข้อมูลบัญชีธนาคารกสิกรไทย เลขที่ 001-0-03796-9 โดยบัญชีดังกล่าวมีผู้มีอำนาจลงนาม จำนวน 5 คน อาทิ นิมล เรืองวัน กฤษณา นอกจากนั้นยังมีชื่อของนางเรืองวัน เปิดบัญชีไว้กว่า 100 บัญชีและมีการตั้งกองทุนชื่อว่า KTAM เพื่อไว้ซุกเงิน ลักษณะที่ตรวจพบว่า เมื่อมีการโอนเงินมาช่วงเช้า แล้วช่วงบ่ายก็มีการถอนเงินออกจากบัญชีทั้งหมดในรูปแบบของเงินสด ตามที่ได้ข้อมูล คือ บัญชีนิมล พบว่ามีการโอนจากธนาคารกสิกร ไป ธนาคารกรุงไทย หลายรายการ ได้แก่ เมื่อวันที่ 27 กันยายน จำนวน 260 ล้านบาท วันที่ 28 กันยายน จำนวน 99 ล้านบาท วันที่ 3 ตุลาคม จำนวน 485 ล้านบาท วันที่ 5 ตุลาคม โอน 306 ล้านบาท และวันที่ 9 ตุลาคม โอน 405 ล้านบาท โดยการโอนเงินลักษณะนี้ อาจเข้าข่ายการฟอกเงินและมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน
       
       ประเด็นที่รัฐบาล ยอมนำหัวของบริษัทจีนมาทำสัญญาแบบจีทูจี เป็นเพราะว่าต้องการเลี่ยงการประมูลซึ่งมีราคาสูง ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า เมื่อทำเช่นนี้ จะค้าข้าวกระสอบละ 300 บาท ทั้งที่ราคาข้าวในตลาดจะอยู่ที่กระสอบละ 1,500 - 1,555 บาท ดังนั้นเมื่อค้าข้าวกระสอบละ 300 บาท จำนวนที่รัฐบาลว่าจะขายทั้งหมด 7.32 ล้านตัน จะมีค่าส่วนต่างถึง 2 หมื่นล้านบาท
       
       สำหรับข้าวที่มีการซื้อขายพบว่าถูกนำไปไว้ที่โกดัง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นโกดังเก็บข้าวของบริษัทสยามเพรซิเดนท์ โดยใช้วิธีการเทข้าวเก็บไว้ในโกดัง แทนเก็บไว้ในกระสอบ โดยทราบว่าเมื่อช่วง 5 พ.ค. - 16 ก.ค. มีการนำข้าวไปไว้ถึง 4.1 แสนกระสอบ ทั้งนี้ประเด็นที่เกิดขึ้นนั้น นายกฯ ทราบข้อมูลและมีการสมรู้ร่วมคิดกับรัฐมนตรีในการกระทำทุจริต ตามที่เคยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ทำเนียบรัฐบาล
       
       “ผมทราบข่าวว่าเสี่ยเปี๋ยง เป็นผู้ที่มีอิทธิพลในวงการค้าข้าวและรัฐบาล โดยเมื่อต่างชาติจะซื้อข้าวไทย มีผู้ใหญ่ของกระทรวงพาณิชย์ระบุว่าให้ไปเจรจากับเสี่ยเปี๋ยง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่บ่งชี้ชัดเจนว่าเสี่ยเปี๋ยง มีสายสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับคนในรัฐบาล และเปิดทางให้เสี่ยเปี๋ยงทำมาหากินแบบนี้” นพ.วรงค์ ชี้ให้เห็นถึงสายสัมพันธ์ค้าข้าว
       
       นอกจากข้อมูลของ นพ.วรงค์แล้ว สำนักข่าวอิศรายังเคยทำการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด หลังจากได้รับงานปรับปรุงสภาพข้าวและส่งมอบข้าว 15% ของรัฐจำนวน 300,000 ตัน ให้รัฐบาลอินโดนิเชีย ในช่วงปลายปี 2554 พบว่า บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด ที่เคยเป็นบริษัทส่งออกข้าวรายใหญ่ที่สุดของประเทศไทยสมัยรัฐบาล พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ยุคนายวัฒนา เมืองสุข เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
       
       เนื่อง จากกรรมการและผู้ถือหุ้นหลายคน ในบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เคยเป็นกรรมการและผู้ถือหุ้นในบริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง มาก่อน อาทิ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร อดีตกรรมการและผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำนวน 43,739,000 หุ้น เป็นอดีตผู้ก่อตั้ง กรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่ บริษัท สยามอินดิก้า จำกัด จำนวน 232,560 หุ้น นายอนุ จารุศิลาวงศ์ และนางสาวเรืองวัน เลิศศลารักษ์ เคยถือหุ้นในบริษัท บริษัท เพรซิเดนท์ เกรนไซโล จำกัด ในเครือ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ก่อนจะเข้ามาถือหุ้นในบริษัท สยามอินดิก้า
       
       ขณะที่ บริษัท เพรซิเดนท์ฯ และนายอภิชาต ยังเข้าไปพัวพันการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรในช่วงที่นายวัฒนา เมืองสุข เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จนทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติชี้มูลความผิดนายวัฒนา เมืองสุข กับพวกรวม 7 คน ซึ่งมีบริษัทเพรซิเดนท์ฯและนายอภิชาต รวมอยู่ด้วย ซึ่งคณะทำงานพิจารณาสำนวนคดีที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ของสำนักงายอัยการสูงสุดได้มีมติสั่งฟ้องนายวัฒนากับพวกต่อศาลฎีกาแผนกคดี อาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อเดือนมิถุนายน 2552 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีเรียกรับเงินผู้ประกอบการเอกชนในโครงการดังกล่าว
       
       สำหรับ ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 7 ประกอบด้วย 1.นายวัฒนา เมืองสุข 2.นายพรพรหม วงศ์วิทัศน์ 3.นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง ส.ส.กทม. 4.นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร กรรมการผู้จัดการบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด 5.น.ส.รัตนา แซ่เฮ้ง 6.น.ส.กรองทอง วงศ์แก้ว และ 7.บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง
       
       ณ เวลานี้ สถานะของบริษัทเพรสซิเด้นท์ฯ และ “เสี่ยเปี๋ยง” อยู่ในสภาพล้มละลาย โดยศาลล้มละลายกลาง ได้พิพากษาเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2553 ให้ บริษัท เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร ลูกหนี้ ล้มละลายและศาลให้พิทักษ์ทรัพย์ไว้เด็ดขาดจากการฟ้องร้องของธนาคารฮ่องกงและ เซี่ยงไฮ้แบงกิ้ง โดยก่อนหน้าที่เพรสซิเด้นท์ฯ จะถูกศาลสั่งล้มละลายนั้น บริษัทสยามอินดิก้า เคยเข้าไปให้ความช่วยเหลือด้านการเงินแก่บริษัทเพรสซิเด้นท์ฯ โดยเข้าไปทำสัญญาซื้อหนี้ของเพรสซิเดนท์ จากธนาคารกรุงไทย ในราคา 1,050 ล้านบาท จากมูลหนี้ 1,286 ล้านบาท
       
       แต่ถึงที่สุดเพรสซิเดนท์ก็ไปไม่รอด แม้ช่วงรัฐบาลทักษิณ เพรสซิเดนท์ฯ จะสามารถประมูลข้าวในสต็อกของรัฐบาลได้เพียงเจ้าเดียวถึง 2 ล้านตัน ทำให้สามารถควบคุมการส่งออกข้าวได้เกือบทั้งหมด แต่บริษัทเพรสซิเดนท์ฯ ไปไม่ถึงฝั่งฝัน หลังตกเป็นหนี้ธนาคาร 8 แห่งเป็นเงินกว่า 12,000 ล้านบาทและมีการแจ้งความดำเนินคดีต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฐานฉ้อโกงทรัพย์
       
       ไม่เพียงแต่ นพ.วรงค์ เท่านั้น ที่แฉให้เห็นถึงความไม่ชอบมาพากลในการระบายข้าวของรัฐบาล นายเกียรติ สิทธิอมร ส.ส.พรรค ประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายในทำนองเดียวกันว่า การทำสัญญาซื้อขายข้าวเมื่อลงนามแล้วต้องเปิดเผยข้อมูล กรณีที่นายกฯ อ้างว่าคู่ค้าร้องขอให้ปกปิดข้อมูลนั้น เท่าที่ตรวจสอบกับทูตของประเทศคู่ค้าต่างยืนยันว่าไม่เคยร้องขอให้ปกปิด ข้อมูลดังกล่าว
       
       นอกจากนั้น ขณะนี้องค์การการค้าโลก (WTO) ยังจับตาและเตือนมายังประเทศไทยกรณีการรับจำนำข้าว ว่าการแทรกแซงตลาดของไทยทำเกินข้อกำหนดที่ผูกพันในองค์การการค้าโลกหรือไม่ อย่างไรก็ตาม เสียงเตือนนายกฯจากทุกสารทิศเรื่องโครงการจำนำข้าวที่ใช้เงินมาก เสียหายมาก หนี้ประเทศเพิ่ม เกษตรกรไม่ได้ประโยชน์อย่างที่ตั้งใจไว้นำไปสู่ความหายนะของชาติ แต่นายกฯ กลับไม่ฟัง ยังเดินหน้าต่อทั้งที่ใน 1 ปี โครงการนี้สร้างหนี้ไปแล้ว 4 แสนล้าน
       
       ขณะที่นายอรรถพร พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ยังได้อภิปรายพร้อมเปิดคลิปการลักลอบนำเข้าข้าวจากด่านชายแดนไทย - เขมร ที่ด่านบึงตะอวน อำเภอตาพระยา จ.สระแก้ว และ จ.อุบลราชธานี ที่มีการลักลอบการขนข้าวเขมร เข้ามาสวมสิทธิ์โครงการจำนำข้าว ในประเทศไทย คลิปการเวียนเทียนข้าวนาปีมาขายใหม่เป็นข้าวนาปรัง ด้วยการเปลี่ยนกระสอบบรรจุข้าวใหม่ คลิปการเวียนเทียนข้าวเหลืองเสื่อมคุณภาพ ที่ อ.พยุหคีรี จ.นครสวรรค์ รวมถึงคลิปที่ อ.ดอนตูม จ.นครปฐม พร้อมระบุว่า พื้นที่ทั้งหมดเป็นบ่อปลามากกว่า 6แสนไร่ แต่มีการออกใบประทวนปลอม ทั้งๆ ที่ไม่มีการปลูกข้าวแต่อย่างใด และยังระบุว่ามีโรงสีรายหนึ่งที่เข้าไปเกี่ยวข้องความไม่ชอบมาพากลในการ ดำเนินงานโครงการรับจำนำ ชื่อ ดิลก อินเตอร์ไรซ์ มีหุ้นส่วน 2 คน นามสกุล “กุลดิลก” ซึ่งเป็นเรื่องของ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย ที่ต้องชี้แจง
       
       จากการอภิปรายของพรรคฝ่ายค้าน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงโดยยืนยันว่า โครงการรับจำนำจะไม่มีปัญหาเรื่องการอุดหนุนผิดกฎ WTO ส่วนที่ระบุว่าโรงสีได้รับประโยชน์ เป็นเรื่องจริง เพราะโครงการรับจำนำข้าวเปิดให้โรงสีเข้ามาร่วมในเรื่องการรับสีแปรสภาพจ่าย ผ่าน อคส.และ อตก. และยืนยันเกษตรกรได้ประโยชน์ หากจะขาดทุนก็ไม่น่าจะเกิน 8 หมื่นล้านบาท ไม่ถึงสองแสนล้านบาทและไม่เป็นภาระงบประมาณแน่นอน ส่วนเรื่องโกงน้ำหนัก ยอมรับว่ามีบ้าง แต่ก็ได้ดำเนินคดีกับโรงสีไปแล้ว 30 กว่าคดี
       
       ส่วนเรื่องการระบายข้าว จีทูจี ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไร การอภิปรายของฝ่ายค้านเป็นการจิตนาการ แต่ยอมรับว่าไม่เคยทราบข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำมาเปิดเผยมาก่อน การระบายข้าวกับจีน มีการตรวจสอบข้อมูลหน่วยงานที่มาติดต่อกับกระทรวงพาณิชย์ พบว่าเป็นของรัฐบาลเขาจริง ส่วนประเทศที่ซื้อไปแล้วจะมอบหมายใครมาเป็นผู้ดำเนินการก็เป็นสิทธิของเขา การสืบเสาะหาข้อมูลเหล่านี้จึงไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์
       
       เรื่องนี้เชื่อแน่ว่ายังไม่จบง่ายๆ เพราะพรรคฝ่ายค้านจะดำเนินการยื่นต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต แห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อให้เข้ามาตรวจสอบความผิดปกติที่เกิดขึ้น ขณะที่ นายคำนูน สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา ชี้ว่าการขายข้าวจีทูจีไม่จบแค่ในสภาแน่ โดยภาคต่ออยู่ที่ประชาชนทุกคนที่หากเชื่อข้อมูลของฝ่ายค้านอภิปรายส่อว่ามี ทุจริตจริง สามารถยื่นต่อ ป.ป.ช.ตามรัฐธรรมนูญฯ มาตรา 275 หรือ ป.ป.ช.อาจหยิบเรื่องขึ้นมาพิจารณาเองได้


จากทักษิณถึงเสี่ยเปี๋ยง ต้นสายและปลายทางของวงจรแห่งการโกง

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ข้อมูล เรื่องการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว จากการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี ของพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่า รัฐบาลคือ นายกฯ นกแก้ว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และนายบุญทรง เตยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ โกหกคนไทยตลอดมาว่า รัฐบาล สามารถระบายข้าวจากโครงการรับจำนำข้าว โดยผ่านการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี ไปได้แล้ว 7.2 ล้านตัน
       
       เพราะข้อมูลในเรื่องการระบายข้าวที่นายประเสริจ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส. ยะลา นำมาแสดงต่อสภาฯ ตลอดจนผู้ชมและฟังการถ่ายทอดสดทั่วประเทศในวันนั้น ชี้ให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลา 10 เดือนของปีนี้ ไม่มีการส่งข้าวโดยรัฐบาลออกไปต่างประเทศเลย แม้แต่ตันเดียว
       
       เป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือ ไม่ได้กล่าวอ้างลอยๆ เพราะนายประเสริฐนำบันทึกการส่งมอบข้าวที่ท่าเรือของหอการค้าไทย ที่ต้องมีตัวแทนไปตรวจสอบทุกครั้งที่มีการส่งข้าวออกไปทางเรือ มาแสดงประกอบการอภิปรายด้วย
       
       นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.จังหวักพิษณุโลก เป็นผู้ไขคำตอบว่า ข้าวที่รัฐบาลโกหกคนไทยว่า ส่งออกไปแบบจีทูจีนั้น แท้จริงแล้ว ไม่ได้ออกไปไหน แต่หมุนเวียนอยุ่ในประเทศนี่แหละ โดยขายให้กับเจ้าของบริษัทสยามอินดิก้า นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” โดยไม่มีการประมูล
       
       บริษัทสยาม อินดิก้านั้นก็คือ บริษัท เพรสสิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง ซึ่งเป็นผู้ส่งอกข้าวรายใหญ่ที่สุด ในสมัยรัฐบาล นช.ทักษิณ ที่มีนายวัฒนา เมืองสุข เป็นรัฐมนตรีว่ากากรระทรวงพาณิชย์ โดยเป็นรายเดียวที่ประมูลข้าวจากโครงการรับจำนำข้าวในยุคนั้นไปถึง 1.7 ล้านตัน แต่ไม่สามารถส่งออกข้าวจำนวนนี้ได้ และบริษัทตกเป็นหนี้ธนาคารหลายแห่ง เป็นเงินกว่า 12,000 ล้านบาท รวมทั้งธนาคารกรุงไทย และธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น ซึ่งธนาคารฮ่องกงฯ ได้ฟ้องล้มละลายบริษัทเพรสสิเดนท์ และนายอภิชาตซึ่งศาลล้มละลายกลาง พิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2553
       
       บริษัท เพรซิเดนท์ฯ และนายอภิชาตยังเข้าไปพัวพันการทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรในช่วงที่นาย วัฒนาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.) จนทำให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)มีมติชี้มูล ความผิดนายวัฒนากับพวกรวม 7 คน ซึ่งมีบริษัทเพรซิเดนท์ฯ นายอภิชาต และนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง รวมอยู่ด้วย ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีมติสั่งฟ้องนายวัฒนากับพวกต่อศาลฎีกาแผนกคดี อาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เมื่อเดือนมิถุนายน 2552 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีเรียกรับเงินผู้ประกอบการเอกชนในโครงการดังกล่าว
       
       จากข้อมูลการอภิปรายของ นพ.วรงค์ การกลับเข้ามาทำมาหากินกับโครงการรับจำนำข้าวรอบนี้ นายอภิชาตมาใช้ชื่อบริษัท GSSG IMP AND EXP.CORP ตั้งอยู่ที่นครกวางเจา ประเทศจีน โดยในเอกสารรับมอบอำนาจบริษัทดังกล่าว ระบุว่า นายรัฐนิธ โสจิรกุล เป็นผู้มีอำนาจของบริษัทลงนามมอบอำนาจให้กับนายนิมล รักดี มีที่อยู่ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร ให้เป็นผู้มีอำนาจในการลงนามแทนในการซื้อขายข้าวตามสัญญารัฐต่อรัฐ จำนวน 5 ล้านกิโลกรัม โดยจากการตรวจสอบแล้วพบว่านายรัฐนิธมีชื่อเล่นว่า “ปาล์ม” อายุ 32 ปี ผู้ช่วยลำดับที่ 3 ของนางระพีพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ภรรยานายอริสมันต์ ซึ่งเป็นจำเลยในคดีบ้านเอื้ออาทร ร่วมกับนายอภิชาต
       
       ส่วนนายนิมลที่เป็นผู้มีอำนาจของบริษัทจีนนั้น ตรวจสอบพบว่าคนในพื้นที่ จ.พิจิตร เรียกว่า “เสี่ยโจ” เป็นมือขวาให้กับนายอภิชาติ หรือ“เสี่ยเปี๋ยง” และเมื่อตรวจสอบจากเอกสารของ ป.ป.ช.พบว่า นายนิมลนั้นเป็นคนของบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริเทรดดิ้ง และถูก ป.ป.ช.ตรวจสอบพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตรับจำนำข้าว ในปี 46 - 47 สมัยรัฐบาลของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในประเด็นนำข้าวเก่ามาเวียนเทียนเข้าโครงการรับจำนำ
       
       สำหรับข้าวที่มีการซื้อขายพบว่าถูกนำไปไว้ที่โกดัง จ.พิจิตร ซึ่งเป็นโกดังเก็บข้าวของบริษัทสยามเพรซิเดนท์ โดยใช้วิธีการเทข้าวเก็บไว้ในโกดังแทนเก็บไว้ในกระสอบ โดยทราบว่าเมื่อช่วง 5 พ.ค. - 16 ก.ค. มีการนำข้าวไปไว้ถึง 4.1 แสนกระสอบ
       
       นพ.วรงค์ได้นำคลิปวิดีโอมาแสดงให้เห็นถึงการพบปะกันระหว่าง “เสี่ยเปี๋ยง” กับ นช. ทักษิณ พร้อมกับตั้งสมมุติฐานว่าอดีตนายกฯ เป็นผู้ชักใยอู่หลักกระบวนการทั้งหมด หรือไม่
       
       เมื่อเร็วๆ นี้เอง นช.ทักษิณให้สัมภาณ์นิตยสารฟอร์บส์ว่า เขาเป็นคนคิดโครงการรับจำนำข้าวขึ้นมาเอง รัฐบาลของน้องสาว เป็นแค่คนรับไอเดียเอาไปทำ
       
       ฝ่ายรัฐบาล ไม่สามารถหักล้างพยารนหลักฐาน ที่นายประเสริฐ และนายแพทย์วรงค์ นำม่าแสดง และอภิปรายไว้ในสภาฯได้ นายบุญทรง ซึ่งโกหกมาโดยตลอดว่า รัฐบาลขายข้าวจีทูจีได้แล้ว 7.5 ล้านตัน พูดได้แค่เพียงว่า ฝ่ายค้านใช้ข้อมูลเก่า ใช้จิตนาการมากเกินไป
       
       ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์ โดยรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัตในฐานะโฆษกข้าว ซึ่งรับหน้าเสื่อโกหกแทนรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงพาณิชย์ และอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ในเรื่องจีทูจี ไม่กล้าปฏิเสธตรงๆ ว่า ข้อมูลของฝ่ายค้านไม่จริง จึงใช้วิธีเอาสีข้างเข้าถูว่า เมื่อขายข้าว ได้เงินก็หมดหน้าที่ กรมฯ หรือกระทรวง ไม่จำเป็นต้องเข้าไปรับรู้ว่า ผู้ซื้อจะว่าจ้างใครดำเนินการแทน จะเป็นบริษัทที่มีตัวตน หรือเคยถูกแบล็กลิสต์ หรือมีความผิดมาก่อนหรือไม่ เพราะของออก เราได้เงินมาแล้วก็จบเรื่อง
       
       นาย นิพนธ์ พัวพงศกร นักวิชาการทีดีอาร์ไอ เคยให้คำจำกัดความ โครงการรับจำนำข้าวไว้ว่า เป็นโครงการ Built-in Corruption คือ ออกแบบมาเพื่อให้มีการโกงกินกันทุกขั้นตอน การอภิปรายของพรรคประชาธิปัตย์ ในเรื่องนี้ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า การโกงกินกันในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การรับซื้อข้าวของโรงสี ไปจนถึงการระบายข้าวนั้นทำกันอย่างไร ใครเป็นผู้รับประโยชน์ เมื่อพิจารณาประกอบกับภาพถ่ายของ นช. ทักษิณ กับ เสี่ยเปี๋ยง ที่ นพ.วรงค์ นำมาแสดงนั้น มันคือการมาบรรจบพบกันของต้นทางกับข้อต่อสุดท้ายของวงจรแห่งการโกงกิน การที่รัฐบาลไม่สามารถหักล้างโต้ตอบการอภิปรายของฝ่ายค้านได้เลย แม้แต่เรื่องเดียวก็เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริงที่มีหลักฐานปรากฎชัด จนไม่สามารถปกปิดได้


ปชป.ทำหนังสือถามสถานฑูตจีน ซื้อข้าวไทย

ปชป.เตรียมทำหนังสือสถานฑูตจีน ถามซื้อข้าวไทยจริงหรือไม่ รวมทั้งธปท.เปิดแอลซีค้าข้าว เชื่อยังทุจริตอีกมาก
นาย ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า การทำงานของ ส.ส. ฝ่ายค้านในช่วงการอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นไปอย่างครบถ้วน ซึ่งการอภิปรายไม่ไว้วางใจถือว่าเป็นไปตามระบบการตรวจสอบของรัฐสภาและหาก ฝ่ายค้านเสนอข้อมูลได้อย่างเต็มที่ก็จะเป็นประโยชน์มาก และจากการสำรวจของโพลต่าง ๆ ก็พบว่าข้อมูลที่ฝ่ายค้านนำเสนอเป็นข้อเท็จจริงที่เป็นประโยชน์และรัฐบาล สามารถนำไปตรวจสอบเพื่อปรับปรุงแก้ไข แต่ที่น่าเสียดายคือรัฐบาลเลือกที่จะใช้วิธีบิดเบือนข้อมูลข้อเท็จจริง โดยให้นายกรัฐมนตรีลุกขึ้นชี้แจงตามข้อมูลที่ได้มีการเตรียมการไว้ให้ก่อน ล่วงหน้า และรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่สามารถชี้แจงข้อเท็จจริงได้ ทั้งในเรื่องของการจำนำข้าว การขายข้าวแบบจีทูจี รวมไปถึงงบประมาณที่ใช้จ่ายไปในโครงการรับจำนำข้าว

ดัง นั้นพรรคประชาธิปัตย์จะทำหนังสือไปยังสถานทูตจีนเพื่อสอบถามว่า ได้สั่งซื้อข้าวจากรัฐบาลไทยในลักษณะรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี จำนวน 5 พันตันจริงหรือไม่ และได้มอบหมายให้บริษัท GSSM IMP AND EXP.CORP ส่งข้าวไปที่ประเทศจีนจริงหรือไม่ มีนายรัฐนิธ โสจิรกุลเป็นผู้รับมอบอำนาจในการซื้อข้าวจากไทย หรือไม่ วิธีการจ่ายเงินระหว่างรัฐบาลไทยและจีนเป็นอย่างไร เป็นการจ่ายเช็คในชื่อของคนไทยไปยังกรมการค้าต่างประเทศหรือไม่ เพราะไม่อยากให้รัฐบาลไทยเอาจีนมาเป็นเครื่องมือทุจริตคอร์รัปชั่น โกงกิน และขอเรียกร้องให้รัฐบาลจีนแสดงความบริสุทธิ์ใจในเรื่องนี้

นอก จากนี้ พรรคประชาธิปัตย์จะทำหนังสือถึงธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพื่อสอบถามว่าได้มีการเปิดแอลซี จากจีนมาไทยจริงหรือไม่ ถ้ามีจะเปิดในปริมาณเท่าไหร่ จำนวนเงินเท่าใด ยืนยันว่าพรรคจะติดตามเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าการซื้อขายครั้งนี้เป็นการซื้อขายข้าวเพียงแค่ 5 พันตัน แต่รัฐบาลรับจำนำข้าวทั้งหมด 7.328 ล้านตัน ซึ่งเชื่อว่าจะมีกระบวนการทุจริตอีกมาก จะทำให้รัฐเสียหายอีกหลายแสนล้านบาท จึงอยากให้ชาวนาได้เห็นข้อเท็จจริงว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทย ไม่มีเจตนาทำงานเพื่อประชาชนหรือคนจน แต่กลับเอาปัญหาคนจนมาเป็นข้ออ้างเพื่อกำหนดนโยบายในการโกงกินหรือไม่

นาย ชวนนท์ กล่าวว่า ในสัปดาห์หน้า พรรคจะรวบรวมเรื่องการทุจริตทั้งหมด ทั้งงบฟื้นฟูภัยพิบัติ และป้องกันน้ำท่วม ที่พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย ไม่สามารถชี้แจงได้ชัดเจน การพยุงราคายางพาราที่ใช้เงินถึง 3หมื่นล้านบาท การพยุงราคามันสำปะหลังที่ใช้เงินไปถึง 1หมื่นล้านบาท แต่กลับไม่ทำให้ราคาพืชผลเกษตรดีขึ้น ซึ่งพรรคจะเดินหน้าหาคนผิดมาลงโทษด้วยการยื่นเรื่องเหล่านี้ผ่าน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) นอกจากนี้จะยื่นเรื่องให้ตรวจสอบโครงการรับจำนำข้าว และกรณีการแต่งตั้งผู้ว่าฯการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)ด้วย


ไร่รักษ์ไม้,มูลไส้เดือน,เกษตรแปรรูป,อุปกรณ์แค้มปิง,อุปกรณ์ป้องกันอุบัติภัย,เอาตัวรอดในภาวะวิกฤต

Tags : ทูตจีน ไม่เคยมี สัญญาซื้อข้าว จีทูจี ล้านตัน รบ.ไทยอ้าง

view